วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561

ประวัติพุทธศาสนา ข้อมูลการแสวงบุญ สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล คู่มือคนไทย ใน อินเดีย


ประวัติพุทธศาสนาในอินเดีย


พระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ. 240 – 312) ได้ส่งพระธรรมทูตจากอินเดียไปประกาศ พุทธศาสนา 9 สาย โดยสายที่ 8 พระโสณะและพระอุตระเถระได้เดินทางไปยังสุวรรณภูมิประเทศหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน (ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนามและอินโดนีเซีย) ทำให้ไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธจากอินเดียมาตั้งแต่สมัยนั้น

หลังจากสมัยพุทธกาล พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองถึงที่สุดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ต่อมาระหว่าง พ.ศ. 1300 – 1700 คณะสงฆ์อ่อนแอลง รวมทั้งถูกศาสนาอื่นต่อต้านและบีบคั้น กอปรกับถูกชนชาติมุสลิมเข้ารุกรานและทำลายวัดวาอารามตลอดจนพระสงฆ์ ในที่สุดในช่วงปี พ.ศ. 1700 พุทธศาสนาจึงเสื่อมลงและสูญหายไปจากอินเดียในที่สุด ในปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษและได้นายเยาวหรลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) เป็นนายกรัฐมนตรี เนห์รูได้ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของประชาชนที่มาจากลัทธิและต่างศาสนาภายใต้แนวคิด “สหธรรม”

ในช่วงนี้ พุทธศาสนาได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งโดยบุคคลสำคัญ 2 ท่าน คือ นายกรัฐมนตรีอินเดีย และ ดร. บิมเรา รามจิ เอมเบดการ์ (Dr. Bhimrao Ramji Ambedkar) ผู้นำชาวพุทธ โดยรัฐบาลอินเดียได้บูรณะพุทธสถาน ส่งเสริมการศึกษา พุทธศาสนาและก่อตั้งมหาวิทยาลัยที่เมืองนาลันทาและเมืองมคธ วิทยาลัยพุทธที่เมืองบอมเบย์ ส่งเสริมการเรียนภาษาบาลีที่เมืองกัลกัตตา รวมทั้งจัดงานฉลองพุทธชยันตี หรือ ครบรอบ 2,500 ปีของพุทธศาสนา โดยเชิญประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนามาร่วมฉลอง และสร้างวัดในบริเวณรอบพระมหาเจดีย์พุทธ คยาด้วย ทำให้ประเทศไทยเริ่มมีบทบาทในเรื่องพุทธศาสนาในอินเดียอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ดร. เอมเบดการ์ได้นำคนวรรณะต่ำประมาณ 5 แสนคน ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะที่เมืองนาคปะ รัฐมหาราษฏระ ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นการฟื้นฟูพุทธศาสนาในอินเดียที่สำคัญ

อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นเพียง 53 วัน ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ดร. เอมเบดการ์ก็เสียชีวิตลง ทำให้ชาวพุทธในอินเดียขาดผู้นำคนสำคัญไป แต่พิธีปฏิญาณตนเป็น พุทธมามกะดังกล่าว ก็ยังดำเนินมาทุกปี พระสงฆ์จากประเทศไทยได้รับเชิญไปร่วมงานด้วยทุกครั้ง ในขณะที่พุทธศาสนาในอินเดียเสื่อมและสูญไปในช่วงปี พ.ศ. 1700 ประเทศไทยได้รับ พุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักของประเทศโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทำให้ พุทธศาสนาในประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองและมีความมั่นคง เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศและกลายเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2499 ซึ่งทางการอินเดียได้จัดงานฉลองพุทธชยันตี หรือครบรอบ 2,500 ปีของพุทธศาสนา และได้เชิญประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา รวมทั้งประเทศไทยร่วมฉลองและสร้างวัดที่เมืองคยานั้น รัฐบาลไทยได้ตอบสนอง โดยสร้างวัดไทยพุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหาร ในปี 2501 ซึ่งเป็นวัดของรัฐบาลไทยแห่งแรกในประเทศอินเดียและในต่างประเทศ นับตั้งแต่นั้นมามหาเถรสมาคมและรัฐบาลไทยก็ได้สนับสนุนการดำเนินงานของวัดไทยพุทธคยามาโดยตลอด มีการส่งคณะสงฆ์คณะละ 4 รูป ที่เรียกว่า คณะปัญจวรรค มาบริหารวัดในฐานะพระธรรมทูตไทยสายประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบัน มีพระเทพโพธิวิเทศ เป็นหัวหน้าพระธรรมทูต และเป็นเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา

ตลอดเวลากว่า 50 ปี คณะพระธรรมทูตไทยสายประเทศอินเดียทุกชุดได้ปฏิบัติหน้าที่ ในการทำนุบำรุงและเผยแผ่พุทธศาสนาในอินเดียและส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างคณะสงฆ์ไทยและคณะสงฆ์นานาชาติในอินเดียอย่างแข็งขันและได้ผลดียิ่ง การดำเนินงานเผยแผ่พุทธศาสนาของวัดไทยในอินเดียมีทั้งเรื่องการจัดการอุปบรรพชา อุปสมบท การศึกษาพระปริตร และการเผยแผ่พุทธศาสนาของพระภิกษุสามเณร ตลอดจนการปกครองดูแลคณะสงฆ์ แม่ชี และเจ้าหน้าที่ของวัดที่พำนักอยู่ที่วัด รวมถึงการต้อนรับและจัดที่พัก อาหาร และการรักษาพยาบาลให้แก่ พระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่มาจาริกแสวงบุญเป็นจำนวนมาก ด้วยการทำงานอย่างขันแข็งของพระธรรมทูตไทยสายประเทศอินเดีย ทำให้เกิดการจัดสร้างวัดไทยในอินเดียอีกจำนวนมาก อาทิ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ วัดไทยสิริราชคฤห์ วัดไทยนาลันทา วัดไทยไวสาลี วัดไทยเชตวัน เป็นต้น ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญกับพุทธศาสนามากขึ้น มีบุคคลต่างๆ ในวงราชการและการเมืองที่นับถือพุทธศาสนา มีโครงการฟื้นฟูมหาวิทยาลัยนาลันทาให้กลับมาเป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่เช่นในอดีต รวมทั้งโครงการพัฒนาสังเวชนียสถานให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาในรัฐพิหาร รัฐอุตตรประเทศ และรัฐต่างๆ ในอินเดีย ซึ่งเป็นดินแดนต้นกำเนิดพุทธศาสนา ซึ่งมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐต่างๆ ดังกล่าว อย่างยิ่ง

พุทธศาสนา ในอินเดียไม่เพียงแต่กระจุกตัวอยู่ในเขตวังเวชนียสถานเท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่อื่นๆ อีกมากที่ยังไม่เป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนมากนัก อาทิ วัฒนธรรมพุทธศาสนามหายานในแคว้นลดาข สิกขิม และธรรมศาลา เป็นต้น หรือ อิทธิพลของพุทธเถรวาทแบบประเทศไทยที่กระจายตัวอยู่ในกลุ่มคนไต ที่มีอัตตลักษณ์ ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมคล้าย คนไทยล้านนนา คนไตเหล่านี้กจะจายตัวอยู่ทางภาคอีสานของอินเดีย โดยเฉพาะในรัฐอัสสัมและอรุณาจัลประเทศ นอกจากนี้ ยังมีทางรัฐคุชราตซึ่งเป็นรัฐบ้านเกิดของมหาตมะ คานธี และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน นเรนทรา โมดี ที่มีชาวฮินดูเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธเป็นแสนๆ คน ซึ่งในปี 2558 นี้ สถานทูตฯ ร่วมกับสำนักงานพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล มีแผนที่จะนำพระพุทธรูปไปมอบให้กับชาวพุทธคุชราต ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการส่งเสริมพุทธศาสนานอกเขตสังเสชนียสถานของสถานทูตฯ

ข้อมูลการแสวงบุญที่อินเดีย




อินเดีย เป็นต้นกำเนิดของหลายศาสนาที่สำคัญ อาทิ พราหมณ์ ฮินดู เชน รวมถึงศาสนาพุทธ สังคมอินเดียจึงเป็นสังคมที่เปิดกว้างยอมรับความแตกต่างในการนับถือศาสนาที่ต่างกัน

อินเดียมีความสำคัญในฐานะเป็นดินแดนพุทธภูมิ คือเป็นดินแดนที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพุทธศาสนาหลายเหตุการณ์ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติที่ลุมพินี (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล) ตรัสรู้ที่พุทธคยา รัฐพิหาร แสดงปฐมเทศนาที่สารนาถ และปรินิพพานที่กุสินารา รัฐอุตรประเทศ สถานที่ทั้ง 4 แห่งนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า เป็นสถานที่ที่ชาวพุทธจะสามารถระลึกถึงพระองค์ได้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสังเวชนียสถาน 4 แห่ง ที่ชาวพุทธทั่วโลกนิยมเดินทางไปสักการะ นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีสถานที่ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น Unseen Buddhist Circuit ที่สำคัญของอินเดียที่เริ่มได้รับความนิยมในหมู่ผู้แสวงบุญชาวพุทธ อาทิ เมืองสาวัตถี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาอยู่นานที่สุดถึง 26 พรรษา เมืองไวสาลี ที่มีเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชที่ยังมีความสมบูรณ์ที่สุด ถ้ำอชันตา เอลลอรา ที่เป็นผลงานของชาวพุทธที่แกะสลักภูเขาทั้งลูกให้เป็นถ้ำ และเป็นพระพุทธรูปต่างๆ และวัฒนธรรมพุทธแบบมหายานในแคว้นลดาข (Ladakh) ที่มีทัศนียภาพที่สวยงามไม่แพ้หลายๆ ประเทศในยุโรป เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลีมีนโยบายส่งเสริมพุทธศาสนาในอินเดียที่นอกเหนือไปจากเส้นทางสังเวชนียสถานที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว

ในฐานะที่สังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่งนี้ (3 แห่งอยุ่ในอินเดีย 1 แห่งอยู่ในเนปาล) เป็นที่นิยมของผู้แสวงบุญชาวไทยที่นิยมเดินทางมาสักการะตั้งแต่ประมาณเดือน ตุลาคมถึงมีนาคม ของทุกปี เป็นเวลา 6 เดือน และบริษัทไทยไมล์ได้เปิดเส้นทางบินตรง เส้นทางกรุงเทพฯ – คยา และกรุงเทพฯ – พาราณสี ในช่วงเวลา 6 เดือน ดังกล่าว สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้จัดทำเพจ “แสวงบุญในอินเดีย” ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2558 และปรับปรุงข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คำแนะนำในการมาแสวงบุญ และให้ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและที่เป็นประโยชน์ ทั้งข้อมูลที่เกี่ยวกับพุทธสถาน หรือข้อคิดและธรรมะต่างๆ

การมาแสวงบุญ ในดินแดนพุทธภูมินั้น ไม่ใช่การมาท่องเที่ยวที่สะดวกสบายนัก ผู้แสวงบุญต้องมีศรัทธาสูงพร้อมที่จะเผชิญกับความลำบาก บางครั้งก็อาจเกิดปัญหาด้านสุขภาพและอุบัติเหตุ การเตรียมตัวให้พร้อมและศึกษาข้อมูลคำแนะนำต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และจะช่วยให้การเดินทางมาแสวงบุญประสบผลตามความตั้งใจมากขึ้น

ข้อมูลที่สถานเอกอัครราชทูตนำมาเผยแพร่ในเพจนี้ ได้ทั้งจากพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย พระนักศึกษาที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ และจากทางการอินเดียที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้หวังว่าข้อมูลสำหรับผู้แสวงบุญนี้จะเกิดประโยชน์กับผู้แสวงบุญชาวไทยทุกท่าน


คำแนะนำ การเตรียมตัวไปแสวงบุญสักการะสังเวชนียสถานในอินเดีย และ เนปาล

1. เตรียมใจ

การไปอินเดียถือว่าเป็นการไปแสวงบุญในฐานะชาวพุทธที่ต้องการสักการะและบูชาคุณพระพุทธเจ้า ดังนั้นการไปสักการะสถานที่ดังกล่าวเหล่านี้ ถือว่าไประลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและให้เกิดสติ ปลงธรรมสังเวชว่าทุกอย่างย่อมมีเหตุ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เป็นของธรรมดา ในฐานะชาวพุทธจึงถือเป็นการไปสักการะพระพุทธองค์ที่ตรงจุดที่สุด ณ สถานที่จริง เป็นการตามรอยพระพุทธบาทในดินแดนพุทธภูมิ ทั้งนี้ เป็นที่ยอมรับกันว่าในฐานะพุทธมามะกะ ควรหาโอกาสไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต


นอกจากการเตรียมใจที่เป็นบุญแล้ว ยังต้องเตรียมสภาพจิตใจให้พร้อมที่จะเผชิญกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความยากลำบากในการเดินทาง และสุขอนามัยต่าง ๆ ที่บ่อยครั้งก่อให้เกิดความรำคาญจนทำให้การมาทำบุญกลับไม่ได้รับความสบายใจกลับไป แต่ถ้าท่านทั้งหลายแตรียมใจให้พร้อมแล้ว บุญกุศลที่ทำในครั้งนี้ก็จะได้กลับไปอย่างเปี่ยมล้มเลยที่เดียว เคยมีคนกล่าวกับผู้เขียนว่า “อยากมาไหว้พระที่อินเดีย แต่กลัวสกปรก กลัวร้อน กลัวขอทาน กลัวหนู กลัวห้องน้ำไม่สะอาด กลัวกินอาหารแขกไม่ได้” ผู้เขียนจึงได้บอกกลับไปว่าถ้ายังมีความกลัวเหล่านี้อยู่ ก็อย่าเพิ่งมาอินเดียเลย แปลว่าคุณยังไม่พร้อมทั้งกายและใจที่จะมาได้รับบุญ
2. เตรียมกาย
การเดินทางไปแสวงบุญโดยปกติใช้เวลา ประมาณ 7-10 วัน เดินทางโดยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปลงที่คยาหรือพาราณสี จากนั้นนั่งรถบัสไปยังสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ทั้งในอินเดียและเนปาล ซึ่งเวลาในการเดินทางโดยรถยนต์นั้นนาน บางช่วงเดินทางทั้งวัน การเตรียมสุขภาพให้พร้อมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรหารือแพทย์ว่าจะสามารถเดินทางไกลได้หรือไม่ หรือหากเดินทางได้ ก็ควรเตรียมยาประจำตัวและสมุดสุขภาพเป็นภาษาอังกฤษไปด้วย เผื่อกรณีฉุกเฉิน จะได้มีข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง การเตรียมกายเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งต้องตระหนักว่าท่านต้องสามารถช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง หากเป็นผู้สูงอายุ แม้จะมีคนดูแลแต่ก็ต้องสามารถดูแลตัวเองได้ ท่านที่ทราบว่าแพ้อะไร ก็ควรเตรียมยารักษาโรคนั้นไปด้วย รวมทั้งสุขภัณฑ์พกพาประจำตัวที่ท่านต้องใช้ในระหว่างการเดินทาง อาทิ กระดาษทิชชู่เปียก เจลล้างมือ ฯลฯ เพื่อรักษาความสะอาด รวมทั้งเสื้อผ้าที่เหมาะสมสำหรับการไปแสวงบุญ ทั้งนี้ ช่วงฤดูการแสวงบุญจะอยู่ในช่วงอากาศหนาว จึงต้องเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อม และควรเตรียมอุปกรณ์กันฝุ่นหากเป็นผู้ที่มีอากาศแพ้ฝุ่นหรือเป็นผู้สูงอายุ เนื่องจากการเดินทางต้องเผชิญฝุ่นควันตลอดเวลา
ในปัจจุบันนับว่าเป็นบุญของผู้แสวงบุญที่พระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล นำโดยพระเดชพระคุณพระธรรมโพธิวงศ์ ได้จัดทีมแพทย์มาประจำการที่เมืองคยา และกุสินารา ในช่วงฤดูการแสวงบุญ มีรถพยาบาลเคลื่อนที่เร็วในกรณีฉุกเฉิน อีกทั้งมีการสร้างจุดแวะพักระหว่างทางไปสังเวชนียสถานต่างๆ ที่เป็นทั้งวัด ทั้งร้านขายของที่ระลึก และห้องสุขาที่สะอาด ที่ผู้เขียนมักจะบอกใคร ๆ ว่าสามารถเอาตัวลงไปนอนในห้องน้ำนั้นได้อย่างสบาย ๆ
3. เตรียมข้อมูล
เมื่อตัดสินใจว่าจะไปแสวงบุญ และได้เตรียมตัวเตรียมกายแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือหาข้อมูลของการเดินทาง ข้อมูลบริษัททัวร์ที่จะใช้บริการซึ่งก็หาไม่ยากนักจากอินเตอร์เน็ต ทั้งนี้ ใน พ.ศ. 2559 ผู้เขียนมักได้รับการร้องเรียนจากผู้แสวงบุญว่าถูกบริษัททัวร์หลอก เช่น ไม่ชี้แจงให้ชัดเจนว่าจะต้องนอนบนรถทัวร์ทุกวัน หรือให้บริการแลกเงินบาทเป็นเงินรูปีในอัตราแลกเปลี่ยนที่เอาเปรียบลูกทัวร์ หรือแม้กระทั่งทิ้งลูกทัวร์ไว้ในบางสถานที่โดยไม่นับจำนวนลูกทัวร์ให้ครบถ้วนก่อนออกเดินทาง ดังนั้น การเลือกบริษัททัวร์ที่น่าเชื่อถือ และอ่านรายละเอียดการเดินทาง ที่พัก ร้านอาหารให้ชัดเจน ก็จะป้องกันความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังได้ นอกจากนั้นการอ่านข้อมูลคร่าวๆ ของสถานที่ต่าง ๆ ก่อนเดินทางถึงสถานที่จริงจะยิ่งทำให้การเดินทางมาแสวงบุญนั้น น่าประทับใจและเป็นที่จดจำ
ข้อมูลทึ่สำคัญอีกส่างที่ควรรู้ คือ พุทธคยานี้อยู่ในรัฐพิหารซึ่งอยู่ในเขตอาณาของสถานกงสุลใหญ ณ เมืองกัลกัตตา ในส่วนของสารนาถ สถานที่ปฐมเทศนาและกุสินารา สถานที่ปรินิพพาน อยู่ในรัฐอุตตระประเทศซึ่งอยู่ในเขตอาณาของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ส่วนลุมพินีอยู่ในการดูแลของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฏมาณฑุ (ประเทศเนปาล) ดังนั้น หากผู้แสวงบุญต้องการติดต่อหน่วยงานที่ใกล้ที่สุดในระหว่างแสวงบุญก็สามารถติดต่อสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตตา (+91 9830260382) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี (+91 9599321484) และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ (เนปาล) (+977 9801069233) ได้
4. เตรียมเดินทาง
การเตรียมการเดินทางก็คือการเตรียมสัมภาระ เสื้อผ้า อุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งยารักษาโรค ซึ่งมีข้อแนะนำ ดังนี้

นำเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับการเดินทางโดยรถยนต์และที่ใส่สบายเหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม
เสื้อผ้าสำหรับอากาศหนาว
ไฟฉายและยากันยุง
อย่านำของมีค่าติดตัวไป
เตรียมยารักษาโรคประจำตัวและของใช้ส่วนตัว
เตรียมเงินไปให้เหมาะสมและพอดีกับการเดินทาง 10 วันรวมทั้งสำหรับการทำบุญตามวัดต่างๆ ซึ่งหากเป็นวัดไทย สามารถทำบุญด้วยเงินไทยหรือเงินเหรียญสหรัฐฯได้ นอกนั้นเป็นเงินรูปีอินเดีย
มือถือควรขอใช้บริการโทรระหว่างประเทศ หรือมาซื้อซิมของอินเดียใช้โทรกลับประเทศไทย
หนังสือเดินทางควรเก็บรักษาให้ดีและถ่ายเอกสารทำสำเนาไว้
สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งในอินเดียอาจไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์มือถือเข้าไปด้วย ซึ่งหากพลัดหลงกันจะทำให้ผู้แสวงบุญไม่สามารถติดต่อบริษัททัวร์ได้ ผู้แสวงบุญจึงควรจดเบอร์โทรศัพท์ของบริษัททัวร์ และเบอร์โทรสถานเอกอัครราชทูตฯ ติดตัวไว้เสมอ เพื่อให้สามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ในสถานที่ท่องเที่ยวนั้น ๆ ให้โทรศัพท์แจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องให้ได้

5. การเตรียมพร้อมระหว่างการเดินทาง
ในระหว่างการเดินทาง สิ่งที่ท่านจะต้องเจอ มีดังนี้

ความไม่สะอาดของสถานที่และสิ่งของในระหว่างการเดินทาง จึงควรเตรียมสุขภัณฑ์ทำความสะอาดส่วนตัวไปด้วย
การดื่มน้ำควรซื้อที่เป็นขวดที่มีมาตรฐานหรือที่เป็นกระป๋องเท่านั้น
อาหารควรเป็นอาหารที่ทัวร์แนะนำเท่านั้น
คนขายของข้างทางที่จะคะยั้นคะยอให้ซื้อของ ควรต่อรองราคาเท่าที่จะทำได้ หากไม่สนใจ ให้เดินผ่านโดยไม่ต้องแสดงความสนใจ
อย่าออกนอกกลุ่มหรือเส้นทางโดยลำพัง หากเกิดปัญหาต่างๆ ให้รีบแจ้งหัวหน้าทัวร์
การเดินทางไปตามสังเวชนียสถานเป็นการเดินทางที่ยาวนานระหว่างจุดหมาย และระหว่างทางก็มักจะไม่มีจุดจอดรถที่เหมาะสมมากนัก ยกเว้นวัดไทย ห้องน้ำอาจไม่สะอาดเท่าที่ควร ผู้แสวงบุญจึงควรทำใจและเตรียมพร้อมสำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยปรึกษาหัวหน้าทัวร์ทุกการเดินทางระหว่างวัน
การพักในวัดไทย ควรรักษากริยา มารยาทและสำรวมเพราะอยู่ในเขตวัด และรักษาความสะอาดให้กับสถานที่ทุกครั้ง
กรณีหนังสือเดินทางหาย ต้องติดต่อสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตา หรือ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ให้ออกเอกสารเดินทางกลับประเทศจึงจะสามารถเดินทางกลับได้ ทั้งนี้ หลีกเลี้ยงการหยิบหนังสือเดินทางออกมาดูในที่ที่มีคนพลุกพล่าน เพราะอาจถูกขโมยหรือวิ่งราวได้

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี
20 สิงหาคม 2560

คู่มือ คนไทย ใน อินเดีย


Booking.com



สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล

สังเวชนียสถาน (อ่านว่า สัง-เว-ชะ-นี-ยะ-สะ-ถาน) แปลว่า สถานที่อันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช เป็นคำที่ใช้เรียกสถานที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ
สังเวชนียสถาน หมายถึงสถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกระลึกถึงพระพุทธเจ้า เกิดความแช่มชื่น เบิกบาน เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำความดี เมื่อได้ไปพบเห็น
สังเวชนียสถาน มี 4 แห่ง คือ
  1. สถานที่ประสูติ
  2. สถานที่ตรัสรู้
  3. สถานที่แสดงปฐมเทศนา
  4. สถานที่ปรินิพพาน
สังเวชนียสถาน 4 แห่งนี้ ท่านว่าเป็นสถานที่ควรไปเคารพสักการะ ควรไปแสวงบุญ เพื่อให้เกิดความสังเวชและเกิดพุทธานุสติ อันจักนำมาซึ่งบุญกุศลและความปลาบปลื้มแช่มชื่นใจ จากเนื้อความในมหาปรินิพพานสูตร แสดงให้เห็นว่าสังเวชนียสถานทั้งสี่นี้ได้เกิดขึ้นโดยคำแนะนำของพระพุทธองค์ ที่ได้ตรัสว่า ผู้ใดระลึกถึงพระองค์ พึงจาริกไปยังสังเวชนียสถานทั้งสี่นี้ [1]
ต่อมาภายหลังจึงเกิดการจาริกไปยังสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์เพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง นั่นคือ[2]
  1. สถานที่เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
  2. สถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์
  3. สถานที่ทรมานช้างนาฬคีรี
  4. สถานที่ทรมานพญาวานร

พระพุทธดำรัสเกี่ยวกับสังเวชนียสถานทั้ง ๔

   ณ พระแท่นบรรทม หรือเตียงปรินิพพานนั้นเอง พระพุทธองค์ได้ทรงปรารถเรื่องรา่วต่างๆ หลายเรื่องกับพระอานนท์พุทธอุปัฎฐากรวมทั้งเรื่อง สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ตำบล จากในมหาปรินิพพานสูตร พอสรุปได้ดังนี้ 
ครั้งนั้นพระอานนท์เถรเจ้าได้กราบทูลพระองค์ว่า ในกาลก่อนภิกษุทั้งหลายที่ได้แยกย้ายกันไปจำพรรษาอยู่ตามชนบทในทิศต่างๆ เมื่อสิ้นไตรมาศครบ ๓ เดือนตามวินัยนิยมหรืออกพรรษาแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายก็ย่อมจะเดินทางมาเฝ้าพระองค์เป็นอาจิณวัตร ก็เพื่อจะได้เห็นจะได้เข้าใกล้ จะได้อุปัฎฐากพระองค์ อันจะทำให้เกิดความเจริญทางจิต ก็มาบัดนี้เมื่อกาลแห่งการล่วงไปแห่งพระองค์แล้ว ก็แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายก็จะไม่ได้เห็น จะไม่ได้นั่งใกล้ จะไม่ได้สากัจฉา(สนทนาธรรม) เหมือนกับสมัยที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอีกต่อไป 

   เมื่อพระอานนท์กราบทูลดังนี้แล้ว พระตถาคตเจ้าได้ทรงแสดงสถานที่ ๔ ตำบลว่าเป็นสิ่งที่ควรจะดู ควรจะได้เห็น ควรจะเกิดสังเวช (ความสลดใจกระตุ้นเตือนจิตใจให้คิดกระทำแต่สิ่งดีงาม) แก่กุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา คือ 
  ๑. สถานที่พระตถาคตเจ้าบังเกิดแล้วคือ ประสูติจากพระครรภ์มารดา ตำบลหนึ่งคืออุทยานลุมพินี 
  ๒. สถานที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณตำบลหนึ่งคือ ควงไม้โพธิ์ พุทธคยา 
  ๓. สถานที่พระตถาคตเจ้าให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไป หรือแสดงปฐมเทศนาตำบลหนึ่ง คือ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (ปัจจุบันเรียก สารนาถ) 
  ๔. สถานที่พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุตำบลหนึ่ง คือ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา (ปัจจุบันเรียก กาเซีย) ให้เกิดความสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา 

   อนึ่ง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธามายังสถานที่ ๔ ตำบลนี้ ด้วยมีความเชื่อว่า พระตถาคตเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไปแล้ว ณ สถานที่นี้ และพระตถาคตเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทเสสนิพพานธาตุแล้ว ณ สถานที่นี้ 

   ดูก่อนอานนท์ ชนทั้งหลายเหล่าใด เจติยจาริกของพระตถาคตเจ้าทั้ง ๔ ตำบลนี้แล้ว จักเป็นคนเลื่อมใส เมื่อกระทำกาลกิริยา(ตาย)ลง ชนทั้งหลายเหล่านั้น จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 

   สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความ ๔ ตำบลว่าเป็นที่ควรเห็น ควรดู ควรให้เกิดสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธาด้วยประการฉะนี้แล 

   นี้เองเป็นที่มาของสังเวชนียสถาน ๔ แห่งในดินแดนพุทธภูมิ ที่ชาวพุทธทั้งหลายสมควรอย่างยิ่งที่จะไปนมัสการ กราบไหว้สักการะสักครั้งหนึ่งในชีวิต

สังเวชนียสถานแห่งที่ ๑ - สถานที่ประสูติ

เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชปักไว้ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังทราบว่าตรงจุดนี้ เป็นที่ที่พระบรมศาสดาออกจากพระครรภ์ของพระมารดา
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๑ คือสถานที่ประสูติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ปัจจุบันนี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย และสถานที่ประสูตินี้ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนอินเดีย-เนปาลประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ปัจจุบันสังเวชนียสถานแห่งนี้ ภาษาทางราชการเรียกว่า "ลุมมินเด" แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังเรียกว่า "ลุมพินี"
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๒ - สถานที่ตรัสรู้

วิหารตรัสรู้ ที่ยังหลงเหลืออยู่สมบูรณ์ที่สุด
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๒ คือสถานที่ตรัสรู้ แต่เดิมทีเดียวในสมัยพุทธกาลนั้น คือตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองคยา แคว้นมคธ ซึ่งมีเมืองราชคฤห์ เป็นเมืองหลวง ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้นี้เรียก ตำบลพุทธคยา ขึ้นอยู่กับจังหวัดคยา (ห่างจากจังหวัดคยา ๑๒ กิโลเมตร) รัฐพิหาร มีเมืองหลวงชื่อ ปัฎนะ หรือ ปัฎนา (หรือชื่อเดิมว่า ปาฎลีบุตร)
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๓ - สถานที่แสดงปฐมเทศนา

ธัมเมกขสถูป สถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถให้พระอรหันต์ ๖๐ รูป ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๓ คือ สถานที่แสดงปฐมเทศนา หรือสถานที่พระตถาคตเจ้าทรงยังพระอนุตรธัมจักให้เป็นไป สถานที่นี้อยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียกสารนาถ ห่างจากเมืองประมาณ ๘ กิโลเมตร ซึ่งเมืองพาราณสีนี้อยู่ห่างจากเมืองพุทธคยา สถานที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตร
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๔ - สถานที่ดับขันธปรินิพพาน

สถูปและวิหารปรินิพพานที่เมืองกุสินารา
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๔ คือ สถานที่ดับขันธปรินิพพาน ด้วยอนุาทิเสสนิพพานธาตุดับไม่มีส่วนเหลือ คือทั้งกิเลส ทั้งเบญจขันธ์ดับหมด ตามปกติพระอรหันต์ทั่วไปๆไปจะนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ครั้งแรกนั้นเป็นการดับกิเลส ส่วนเบญจขันธ์ยังอยู่ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพาน เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่จิตเข้าสู่แดนพระนิพพานเท่านั้น เป็นจิตที่สะอาด ไม่มีกิเลส ไม่มีทุกข์แล้ว ดังเช่นพระพุทธเจ้า นิพพานครั้งแรกนี้เมื่อวันเพ็ญ เดือนวิสาขะ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ส่วนนิพพานครั้งที่ ๒ ก็คือ อนุปาทิเสสนิพาน ดังได้กล่าวแล้วนั้นเอง สถานที่นิพพานที่พุทธประวัติระบุว่า สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ปัจจุบันมีสถูปและวิหารเป็นสัญลักษณ์ เป็นอุทยานที่ได้รับการรักษาจากทางการอินเดียเป็นอย่างดี มีต้นสาละและไม้อื่นปลูกอยู่ทั่วไป ให้ความร่มรื่นพอสมควร
Booking.com
ที่มา : 

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี Royal Thai Embassy
New Delhi, Republic of India
D-1/3 Vasant Vihar, New Delhi 110057
Tel: +91 11 4977 4100
Fax: +91 11 4977 4199, +91 11 4059 1496


สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล




สวดมนต์ พร้อม บทคำอ่าน บทสวด - ปัดเป่าขจัดภัย ไล่สิ่งอัปมงคล จากเรื่องเลวร้าย ภยันตราย อายุยืน สุขกาย สุขใจ ปราศจาก อุปสรรค ทุกข์โศก โรคภัย

 สวดมนต์ พร้อม บทคำอ่าน บทสวด  ปัดเป่าขจัดภัย ไล่สิ่งอัปมงคล จากเรื่องเลวร้าย ภยันตราย อายุยืน สุขกาย สุขใจ ปราศจาก อุปสรรค ทุกข์โศก โรคภัย


#สวดมนต์ ***พร้อม บทคำอ่าน บทสวด 

ปัดเป่าขจัดภัย ไล่สิ่งอัปมงคล จากเรื่องเลวร้าย ภยันตราย
อายุยืน สุขกาย สุขใจ ปราศจาก อุปสรรค ทุกข์โศก โรคภัย
...
- ฃุมนุมเทวดา
- จุลชัยยะมงคลคาถา หรือ จุลละชัยปกรณ์ หรือ ไชยน้อย
- โพชฌงคปริตร ทำให้มีสุขภาพดี มีอายุยืน และพ้นจากอุปสรรคทั้งปวง
- พระคาถายันทุน อภยปริตร ทำให้พ้นจากภัยพิบัติ และ ไม่ฝันร้าย ให้ร้ายกลายเป็นดี
- อุณหิสวิชัย (บทคาถา ใช้สวด ป้องกันภัย)
- ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ปฐมเทศนา ปลดเปลื้องทุกข์ภัย อายุยืน มีความสุขกาย สุขใจ ปราศจากทุกข์โศก โรคภัย
- รัตนสูตร (ปัดเป่าอุปัทวันตรายให้หมดไป)
- กรณียเมตตปริตร หรือ กรณียเมตตสูตร ป้องกันภยันตราย เป็นที่ยำเกรงของภูติผีปีศาจ และ เป็นที่รักใคร่ในหมู่เทพยดาทั้งหลาย เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต  เป็นที่รักใคร่ ให้เป็นผู้มีเสน่ห์ ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน ตรวจสอบตนเองให้พ้นจากการกระทำชั่ว และเจริญเมตตาอยู่เป็นนิตย์ 
- ธชัคคปริตร ทำให้พ้นจากอุปสรรคอันตราย การตกจากที่สูง
- อาฏานาฏิยปริตร ป้องกันภัยจากอมนุษย์ ทำให้มีสุขภาพดี และมีความสุข


https://www.youtube.com/watch?v=WfawnrijjJk&list=PLre-8Hpeg_879ReaDa9HjFnCMETi2TX7R&t=0s&index=2


วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

สวดมนต์ สิบสองตำนาน ปริตร บทเต็ม - มีสมาธิ เกิดปัญญา แคล้วคลาด สุขภาพดี อายุยืน

สิบสองตำนาน ปริตร บทเต็ม 
แคล้วคลาด สุขภาพดี มีสมาธิ เกิดปัญญา อายุยืน คุ้มครองผู้สวด คุ้มครองผู้ฟัง

- ชุมนุมเทวดา
- ปุพพภาคนมการ ..[นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ (3 จบ)]
- ไตรสรณคมณ์ ..[พุทธัง สะระณัง คัจฉามิฯ]
- นะมะการะสิทธิคาถา ..[โย จักขุมา ฯ]
- สัมพุทเธ ..[สัมพุทเธ อัฏฐะวีสัญจะ ฯ]
- นะโมการะอัฏฐะกะ ..[นะโม อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ มะเหสิโน ฯ]
- มงคลสูตร - มังคะละสุ ..[พะหู เทวา มะนุสสา จะ ฯ - อะเสวะนา จะ พาลานัง ฯ]
- รตนสูตร - ระตะนะสุตตัง ..[ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ฯ]
- กรณียเมตตสูตร - กะระณียะเมตตะสุตตัง ..[กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง ฯ]
- ขันธปริตร - ขันธะปะริตตัง ..[วิรูปักเขหิ เม เมตตัง]
- โมรปริตร - โมระปะริตตัง ..[อุเทตะยัญจักขุมา]
- อาฏานาฏิยปริตร - อาฏานาฏิยะปะริตตัง ..[วิปัสสิสสะ นะมัตถุ - นะโม เม สัพพะพุทธานัง]
- อังคุลิมาลปริตร - อังคุลิมาละปะริตตัง ..[ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา ฯ เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ ฯ]
- โพชฌังคปริตร - โพชฌังคะปะริตตัง ..[โพชฌังโค สะติสังขาโต]
- วัฏฏะกะปะริตตัง ..[อัตถิ โลเก สีละถุโณ]
- อภยปริตร - อะภะยะปะริตตัง ..[ยันทุนนิมิตตังอะวะมังคะลัญจะ]
- คาถากันโรคภัยไข้เจ็บ ..[สักกัตวา พุทธะรัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง]
*บทสวด สัจจะกิริยาคาถา ..[นัตถิเม สะระณังอัญญัง]
*..[ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก]
- บทสวด เทวะตาอุยโยชะนะคาถา ..[ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา]
- บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ ..[อิติปิ โสฯ]
- พุทธชัยมงคลคาถา ..[พาหุงฯ]
- ชยปริตร ..[มหากาฯ]

วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

วัดในพระพุทธศาสนา ในประเทศไทย : พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี

"#วัดในพระพุทธศาสนา ในประเทศไทย"

รวบรวมโดย #พระราชสุทธิญาณมงคล (#หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) #วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี
(๑) ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่อดีตอันไกล พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นประมุขของประเทศชาติไทย และรัฐบาลไทย ผู้ปกครองประเทศชาติไทย ก็นับถือพระพุทธศาสนา งานพระพุทธศาสนา ก็เป็นงานพระราชภาระ และเป็นรัฐกิจที่สำคัญควบคู่กันกับการนับถือพระพุทธศาสนาของประชาชนมาตั้งแต่ต้น
เพราะฉะนั้น วัดในพระพุทธศาสนา อันเป็นที่ทำงานพระพุทธศาสนา โดยพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้ดำเนินการ พระมหากษัตริย์ รัฐบาล และประชาชน เป็นผู้อุปถัมภ์ จึงมีอยู่ทั่วประเทศไทยในทุกจังหวัด และแทบจะทุกอำเภอ แม้ในภาคใต้ ขณะนี้วัดในประเทศไทย มีมากกว่า ๓๐,๐๐๐ วัด
(๒) วัดทั้งหมดนี้ ถ้าตั้งอยู่บนเนื้อที่ วัดละ ๑๕ ไร่โดยเฉลี่ย ก็จะเป็นเนื้อที่มากกว่า ๔๕๐,๐๐๐ ไร่ ถ้าสร้างด้วยเงิน วัดละ ๕,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาทโดยเฉลี่ย ก็จะเป็นเงินมากกว่า ๑๕๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท ซึ่งก็นับเป็นจำนวนค่อนข้างมาก การสร้างก็ยังดำเนินการกันอยู่เรื่อย ๆ บ้านขยายออกไปเท่าไร วัดก็เพิ่มมากขึ้นตามกัน เพราะมีบ้านที่ไหนก็มีวัดที่นั่น ห้ามไม่ได้
บางทีก็สร้างใกล้กันมากเกินไปโดยไม่จำเป็น แทนที่จะเป็นคุณกลับเป็นโทษ ในทางให้เกิดการแข่งขันกัน สร้างความแตกแยกในระหว่างกันก็มี
ทั้งหมดนี้เป็นความจริงที่ควรจะพิจารณาด้วยดีของทุก ๆ ฝ่าย
(๓) ประเด็นที่ควรพิจารณา ก็คือ
1. วัดทำประโยชน์อะไรให้บ้านบ้าง ? คุ้มค่าหรือไม่
2. งานของวัดในขณะนี้ถูกต้องหรือควรแก้ไขประการใดบ้าง ? เพราะเหตุใร ?
3. การบำรุงวัดที่สมควร ควรจะเป็นอย่างไร ?
4. การสร้างวัดที่ไม่สมควรมีหรือไม่ ควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสม
(๔) วัดเป็น
1. ศาสนสถาน
2. ศึกษาสถาน
3. ธรรมสถาน
4. บุญสถาน
วัดที่มีลักษณะครบทุกประการตามนี้ และมีจำนวนพอสมควรแก่การสภาพบ้าน ย่อมมีประโยชน์แก่บ้านคุ้มค่า
(๕) วัดพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ได้แก่ ที่อยู่อาศัย ที่ทำงานของพระพุทธศาสนา และที่ปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุสงฆ์ ที่สร้างร่วมกัน ในที่ที่สมควรโดยเอกเทศ โดยลักษณะเรียบ ๆ ง่าย ๆ เป็นไปตามธรรมชาติ เว้นจากความสวยงามหรูหรา
มีลักษณะเรียบร้อย น่ารื่นรมย์
เป็นอาวาส อาราม
ในบรรยาการศสงัดเงียบ
นำไปสู่ความวิเวก
(๖) พระภิกษุสงฆ์มีหน้าที่
1. ทำงานพระศาสนา
2. ให้การศึกษา
3. อบรมคุณธรรม
4. เป็นสื่อแห่งบุญของทุกคน
เพื่อ
1. ตนเอง
2. คนอื่น
3. ส่วนรวม
ด้วย
1. ความเมตตา
2. ยึดพระธรรมวินัย
3. มุ่งหมายความสงบ
โดยยึดหลักสำคัญที่สุด คือ การปฏิบัติธรรม จะทำอะไรมากมายเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่มีการปฏิบัติธรรมจะไปไม่รอด
(๗) ศาสนา คือ ระบบบริหารตนเอง และบริหารสังคม
เพื่อ
1. ความเจริญงอกงาม
2. ความสงบเรียบร้อย
3. ความสามัคคีกลมเกลียวกัน ตามลัทธิและปรัชญา แต่ละกาละเทศะ
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาเพื่อ
1. ปัญญา ความรอบรู้ มายา และสัจธรรม เข้าใจธรรมชาติ
2. ความบริสุทธิ์ใจ
3. กรุณา ความช่วยเหลือกัน เพราะมีชีวิตร่วมกันตลอดเวลา
ปรัชญาชีวิตตามแนวพระพุทธศาสนา มีว่า
1. คนที่ช่วยตัวเองไม่ได้เป็นคนเลว
2. คนที่ช่วยตัวเองได้เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่คนเลว ไม่ใช่คนดี
3. คนที่ช่วยคนอื่นได้ เป็นคนดี เป็นคนแท้
4. คนที่ช่วยส่วนรวมได้ เป็นคนดีที่สุด
5. คนเกิดมาเพื่อช่วยเหลือกัน และมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือกันจึงเป็นสัตว์สังคม
(๘) การศึกษา คือ การเตรียมชีวิต เพราะการศึกษาทำให้คน
1. รู้จักคิด
2. รู้จักทำ
3. รู้จักแก้ปัญหา
สร้างความสามารถในการช่วยตัวเอง ให้มีกินมีใช้ อยู่กับคนที่ต้องการจะอยู่ด้วยได้ด้วยความสบาย มีความปลอดภัยไร้ปัญหา เป็นการเตรียมการเป็นคน เพื่อจะได้นำไปสู่
1. การช่วยคนอื่น และ
2. การช่วยส่วนรวม ตามลำดับ
(๙) คุณธรรม คือ ระบบให้เกิดความสำเร็จ และความมั่นคง เป็นพื้นฐานแห่งความเป็นคน
ความเป็นคน ประกอบด้วย ๔ ส่วน คือ
1. คุณธรรม
2. อาชีพ
3. หน้าที่
4. สังคม
คุณธรรมสำคัญที่สุด เพราะทำให้อาชีพเจริญมั่นคง หน้าที่เรียบร้อย สังคมราบรื่น
ขาดคุณธรรม ทั้งอาชีพ ทั้งหน้าที่ ทั้งสังคม อยู่ไม่ได้ ไปไม่รอด
คุณธรรมจึงเป็นเหมือน เสาแห่งความเป็นคน
คุณธรรม ที่จำเป็นพื้นฐาน ได้แก่
1. วินัย
2. ความอดทน
3. ความซื่อสัตย์
4. ความเมตตา
5. ความสามัคคี
เป็นเบญจธรรมแห่งความเป็นคน นำไปสู่ผลสำเร็จที่ปรารถนาชั่วนิรันดร
วินัย คือ
1. ระเบียบ เพื่อความถูกต้องเรียบร้อย
2. มารยาท เพื่อความเข้าใจดีต่อกัน
3. ประเพณี เพื่อความสืบเนื่องแห่งสิ่งที่ควรอนุรักษ์ไว้
เป็นจุดเริ่มต้น แห่งหน้าที่ การงาน และความเป็นอยู่ทุกกรณี
ความอดทน คือ ความอดกลั้นต่อเครื่องกีดขวางอาชีพ หน้าที่ ความเป็นอยู่และสภาพสังคม โดยเฉพาะอยากเป็นคนต้องทนได้ อยากอยู่กับคนต้องทนได้
ความซื่อสัตย์ คือ
1. ความซื่อตรงต่อหน้าที่
2. ความจริงใจต่อคนทั่วไป
3. ความจงรักภักดีต่อผู้ใหญ่
4. ความกตัญญูกตเวที
ความเมตตา คือ
1. ความรักกัน
2. ความปรารถนาดีต่อกัน
3. การให้เกียรติกัน
4. การให้อภัยกัน
ความสามัคคี คือ ความคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมร่วมกัน ไม่ใช่
1. ความรุนแรงต่อกัน
2. ความหยาบคายต่อกัน
3. การเอาแพ้เอาชนะกัน
มุ่งความปรองดอง เพื่อ ความเข้าใจกัน เป็นประการสำคัญ
(๑๐) คำว่าบุญ หมายถึง ความสะอาดหมดแห่งความคิด นำชีวิตไปสู่ความเจริญมั่นคง เพราะ
1. ไม่ทำลายตัวเอง
2. ไม่ทำลายคนอื่น
3. ไม่ทำลายส่วนรวม
4. อันเป็น แหล่งแห่งสันติสุขของมนุษย์ชาติ ที่แท้จริง
บุญเกิด เพราะ
1. การให้ความช่วยเหลือกัน จาก
2. มีวินัยของคน และ
3. มีปัญญา ที่ช่วยตนเองถูกทาง สร้างความไม่มีเวรไม่มีภัยให้แก่คนทั้งหลาย
(๑๑) องค์กร ๔ คือ
1. ศาสนา
2. การศึกษา
3. คุณธรรม
4. บุญ
ที่เป็นงานของวัดในพระพุทธศาสนา ดำเนินการจัดเป็น จตุสดมภ์ชีวิต ที่สำคัญของคนและสังคม ที่มีความสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง
นี่คือประโยชน์ที่วัดให้แก่บ้าน เพราะฉะนั้น มีบ้านจึงต้องมีวัด เพราะวัด
1. เป็นพี่เลี้ยงบ้าน
2. เป็นผู้ปกครองบ้าน
3. เป็นผู้นำบ้าน
4. เป็นศูนย์กลางของบ้าน เป็นสโมสรสถานของบ้าน บ้านอยู่ได้เพราะวัด และวัดอยู่ได้เพราะบ้าน เพราะบ้านพึ่งวัด วัดพึ่งบ้าน
ซึ่งเป็นชีวิตอันสมบูรณ์ของไทย มาแต่โบราณกาล ทั้งหมดนี้ คือ ความจริงที่คุ้มครองชาติไทย คนไทย และเมืองไทย ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง อยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบันนี้
จึงสมควรที่จะได้รับการพิจารณาจากผู้ปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองทั่วไป
(๑๒) ตามข้อเท็จจริง ในปัจจุบันนี้ วัดมิได้เป็นตามที่ได้กล่าวมาทุกประการ ได้เปลี่ยนจากที่เป็นมา ซึ่งควรจะเป็นต่อไป แต่ก็เป็นไปในประการที่ไม่ควรจะเป็นมากมาย บางแห่งแทบจะไม่มีสิ่งดีเหลืออยู่เลย ก็มี
อาจสรุปตามข้อเท็จจริงในขณะนี้ได้บางประการ ดังต่อไปนี้
1. การสร้างวัดในขณะนี้ ที่มิใช่เพื่อบ้าน หรือเพื่อพระศาสนา แต่เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของคนสร้าง หรือเพื่อสนองตัณหาของคนสร้างก็มีอยู่ อยู่วัดเดิมไม่ใหญ่โต ทำอะไรไม่ได้ประโยชน์ตามที่ต้องการ ก็ไปสร้างวัดใหม่ วัดสร้างขึ้นมา ก็ดำเนินการเพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อประโยชน์ตามที่ตนปรารถนา ทำลายศักดิ์ศรี ทำลายความสงบสุข ทำลายความสามัคคี ภายในบ้านให้ย่อยยับลงไป มีอยู่พอสมควร
2. วัดกับบ้านขัดกัน จนมีสภาพเป็นปรปักษ์ต่อกัน ก็มีไม่น้อย
3. วัดหลอกลวงบ้าน เอาเปรียบบ้าน บ้านเบียดเบียนวัดก็มี
4. วัดบั่นทอนเศรษฐกิจบ้านก็มี
5. วัดบางวัด เต็มไปด้วยมลภาวะที่เป็นภัยต่อบ้านก็มี
6. วัดที่มีความเป็นอยู่รกบ้านก็มี เพราะภายในวัดมีคนที่เป็นอันตรายต่อบ้านอยู่มากมายก็มี มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นพิษต่อบ้าน ก็มี
7. ในที่สุดวัดที่ไม่มีสภาพวัดเลยก็มี ทั้งนี้มีอยู่ทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคทั่วไป ทั้งหมดนี้อาจเป็นจากเหตุหลายประการ อาทิ เช่น
· บางท้องที่หาเจ้าอาวาสที่คุณภาพสมควรต่อการงานและหน้าที่ไม่ได้
· บางแห่งหาคนที่มีความเข้าใจวัด เข้าใจศาสนาที่ถูกต้องไม่ได้ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ก็มี
· บางทีไม่มีคนที่มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของชีวิตว่า ควรจะต้องมีอะไรบ้าง จึงจะมีทางอยู่รอดได้ ก็มี
· บางที่ก็นับถือศาสนา นับถือวัด นับถือพระ ไม่ถูกต้อง
· บางทีบำรุงพระศาสนา บำรุงวัด บำรุงพระ ไม่ถูกเป้าหมาย หรือบางทีก็บำรุงมากเกินสมควรไป ทำให้วัด ทำให้พระหลงทางได้ก็มีไม่น้อย

(๑๓) ต้นเหตุแห่งความวิปริตทั้งหลายที่กล่าวมา คงเป็นเพราะ
1. ระบบบริหารการศาสนา การคณะสงฆ์ที่ผ่านมา และที่กำลังใช้อยู่ไม่ถึงเป้าหมาย เพราะความเข้าใจของพวกเราทั้งหมด ทั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์ ไม่ถึงมาตรฐาน ไม่ทันเหตุการณ์ ไม่ทันอิทธิพลแห่งมายาและสิ่งแวดล้อมรวมกันนั่นเอง ไม่ใช่เพราะพวกใดพวกหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่งแน่นอนที่สุด
2. ความไม่ถึงเป้าหมายที่ว่านั้นได้สะสมหมักหมมทีละเล็กทีละน้อยมานานมาก จนมีปริมาณเหลือวิสัยที่จะแก้ไขได้ในชั่วชีวิตของพวกเรานี้ก็ได้
(๑๔) พี่น้องพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์ ได้โปรดพิจารณาด้วยดีว่า ถ้าเราไม่แก้ไขใครจะแก้ไข เพราะพวกเราทำลายเอง พวกเราก็ต้องแก้เอง ทำดีกว่าไม่ทำ เพราะทำก็คงได้ผลบ้าง ถ้าไม่ทำก็จะไม่ได้อะไรเลย
เพราะฉะนั้น ทำเถิด ตั้งใจทำ ดีกว่าสักแต่ว่าทำ
บางคนพูดว่า เรื่องของวัด เรื่องของพระ อย่าเอามาพูดเลย รำคาญเปล่า ๆ บ้านเราทรัพย์สินเรา เราไม่รักษาไม่ดูแล ใครเขาจะรักษา จะดูแล ไม่มีเลย เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา ตัวเรา เราก็ต้องรักษาเองถ้าเรารักมัน
พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตเราที่สุด ถ้าเราห่างไป ก็คงไม่มีอะไรทำให้เรายึดมั่นใจในตัวเราเองแบบไทย ๆ ได้
ศรัทธา เป็นกำลังในการสร้างความสำเร็จที่ชอบที่ประเสริฐ เป็นพระพุทธพจน์ที่ควรแก่การศึกษาโดยแท้

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า.. พุทธทาสภิกขุ - พระธรรมโกศาจารย์ - เงื่อม อินทปัญโญ

พุทธทาสภิกขุ - พระธรรมโกศาจารย์ - เงื่อม อินทปัญโญ
จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า..
เขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บตาย ของเรา
เขาเป็นเพื่อน เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ด้วยกันกะเรา
เขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง
เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา
เขาย่อมพลั้งเผลอ บางคราวเหมือนเรา
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา
เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่
เขาก็ตามใจตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ
เขาก็อยากดีเหมือนเรา ที่อยาก ดี -เด่น -ดัง
เขาก็มักจะกอบโกย และเอาเปรียบ เมื่อมีโอกาสเหมือนเรา
เขามีสิทธิที่จะบ้าดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา
เขาเป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น  อะไรต่างๆเหมือนเรา
เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา
เขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา
เขาก็ทำอะไรด้วยความคิดชั่วแล่น และผลุนผลันเหมือนเรา
เขามีหน้าที่รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก(แม้ศาสนา) ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะใช้สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจจากเรา
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัย จากเรา ตามควรแก่กรณี
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น
เขามีสิทธิ แห่งมนุษยชน เท่ากันกับเรา,สำหรับจะอยู่ในโลก
ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการ ขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น

โครงการหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ ประมวลคำบรรยายธรรม เกิดจากการปรารภของท่านพุทธทาสภิกขุ

#ธรรมโฆษณ์คือ ?

#หนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เกิดจากการปรารภของท่านพุทธทาส ว่า

"ธรรมะที่เราพูดไปมากต่อมากแล้ว มันจะสูญหายเสียหมด ที่พิมพ์กันเป็นเล่มเล็ก ๆ หรือที่อื่นเอาไปพิมพ์ มันก็กระจัดกระจาย ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน จึงพยายามทำขึ้น ให้เป็นชุด ๆ เป็นชุดสมบูรณ์...เมื่อคิดว่าจะพิมพ์เป็นหนังสือเล่มใหญ่ขึ้นมา ก็คิดว่าใช้ชื่อ ธรรมโฆษณ์ มันง่ายดี ความหมายก็ดี"

#โครงการหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ นับเป็นหนังสือหลักที่ #ประมวลคำบรรยายธรรม ทั้งหมดเข้าชุด เป็นหมวดหมู่ ให้สะดวกต่อการสืบค้น อ้างอิง คัดลอกไม่ให้ผิดเพี้ยนพลาดเสียหาย เริ่มดำเนินการเมื่อปี ๒๕๑๕ โดยท่านพุทธทาสเป็นประธานในการชำระร่วมกับ #ธรรทานมูลนิธิ #สวนอุศมมูลนิธิ และ #มูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ โดยจัดแบ่งเป็น ๕ หมวด คือ

๑. จากพระไตรปิฎกโดยตรง คือ หมวด #จากพระโอษฐ์ รวม #พระพุทธภาษิต เอามาทำเป็นรูปเรื่องตามต้องการ

๒. หมวด #ปกรณ์พิเศษ จากการบรรยายเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ #อธิบายปริยัติและปฏิบัต ิจนจบเรื่อง

๓. หมวด #ชุมนุมธรรมเทศนา รวบรวมเทศนา ทุกชนิด ทุกแห่ง ทุกสมัย มารวมพิมพ์เป็นเล่ม

๔. หมวด #ชุมนุมธรรมบรรยาย รวมรวมคำบรรยายทุกประเภท ทุกแห่ง ทุกสมัย มารวมพิมพ์เป็นเล่ม

๕. หมวด #เรื่องปกิณกะ รวมงานเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ทุกประเภท นอกจากที่กล่าวข้างต้น

แต่ละหมวด แต่ละหมายเลขอาจมีได้หลายเล่ม เนื้อหาแต่ละเล่มถอดจากเทปธรรมบรรยายทุกคำพูด ไม่ต่อเติมหรือตัดคำใด ๆ ออก มีโครงการทั้งสิ้น ๑๐๐ เล่ม ขณะนี้มีความคืบหน้าถึงลำดับที่ ๗๖

(ที่มา หนังสือ #พุทธทาสจักอยู่ไปไม่มีตาย หนังสืออนุสรณ์ เนื่องในงาน #เฉลิมฉลอง_100_ปี_ชาติกาล #พุทธทาสภิกขุ 27 พฤษภาคม 2549)

- - - - -

เพราะปัจจุบัน #ปริยัติ ที่คนรุ่นใหม่ใช้ในการศึกษาศาสนา มีมากมาย หลายระดับ ตั้งแต่ พระไตรปิฏก อรรถกถา คำภีร์ เทศนา ของครูบาอาจารย์ต่างๆ  และในบางครั้งมีความเห็นไม่ตรงกัน ทั้งจากความเข้าใจในธรรมเอง และศัพท์บัญญัติ ที่มีการบัญญัติกันขึ้นมาเอง ก็มีเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน  เกิดการถกเถียงกันขึ้น แต่ก็ไม่ได้ข้อยุติ ทั้ง ๆ ที่พระพุทธองค์ ได้มอบ “#พระธรรมและพระวินัย” ให้เป็นศาสดาต่อมา แต่ผู้ที่ศึกษาก็ยังมีจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับคนที่นับถือพุทธศาสนาในปัจจุบัน

ดังนั้น การส่งเสริมให้มีการศึกษา #พระสูตร ซึ่งเป็นปริยัติที่สำคัญในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นคำที่พระพุทธองค์ทรงดำรัสเองให้มากขึ้น จะเป็นการช่วยเพิ่มบุคคลที่จะเป็นกำลังสำคัญต่อไปในการสืบต่อพระศาสนาให้ถูกตรงต่อไป

สำหรับผู้สนใจชุดหนังสือธรรมโฆษณ์ สามารถสอบถามได้ที่  #ห้องหนังสือและสื่อธรรม โทร. ๐๒ ๙๓๖ ๒๘๐๐ กด ๑

#ธรรมโฆษณ์ #อรรถานุกรม : http://www.bia.or.th/dhammakos/index.php

#ดาวโหลด : http://www.bia.or.th/html_th/dhamma-media/book.html

วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วันนี้วันพระ ธรรมะสวัสดี ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนสิบ(๑๐) ปีระกา .. 29 สิงหาคม พ.ศ.2560

วันนี้วันพระ ธรรมะสวัสดี ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนสิบ(๑๐) ปีระกา..:) 
และ อาจจะเป็น..วันคล้ายวันเกิด..ของบางคน..😊

ขอให้ จิต(สงบ) ใจ(สบาย) กาย(แข็งแรง) ..:) 
ธรรมะ..คุ้มครอง แคล้วคลาด สุขภาพดี อายุยืน 
ทั้ง สมหวังตามที่ตั้งใจ ไว้ทุกประการ..ครับ..ผม..:D


***************************************************
วันพระ หรือ วันธรรมสวน หรือ วันอุโบสถ หมายถึง วันประชุมของ พุทธศาสนิกชน เพื่อปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาในพระพุทธศาสนาประจำสัปดาห์ หรือที่เรียกกันทั่วไปอีกคำหนึ่งว่า "วันธรรมสวนะ" อันได้แก่วันถือศีลฟังธรรม (ธรรมสวนะ หมายถึง การฟังธรรม) โดยวันพระเป็นวันที่มีกำหนดตามปฏิทินจันทรคติ โดยมีเดือนละ 4 วัน ได้แก่ วันขึ้น_8_ค่ำ, วันขึ้น_15_ค่ำ (วันเพ็ญ), วันแรม_8_ค่ำ และ วันแรม_15_ค่ำ (หากเดือนใดเป็น เดือนขาด ถือเอา วันแรม_14_ค่ำ)

วันพระ นั้นเดิมเป็นธรรมเนียมของปริพาชกอัญญเดียรถีย์ (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) ที่จะประชุมกันแสดงธรรมทุก ๆ วัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ ซึ่งใน สมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้ายังคงไม่ได้ทรงวางระเบียบในเรื่องนี้ไว้ ต่อมา พระเจ้าพิมพิสาร ได้เข้าเฝ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลพระราชดำริของพระองค์ว่านักบวชศาสนาอื่นมีวันประชุมสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรมคำสั่งสอนในศาสนาของเขา แต่ว่าพุทธศาสนายังไม่มี พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้มีการประชุมพระสงฆ์ในวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ และอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ประชุมสนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันดังกล่าว โดยตามพระไตรปิฎกเรียกวันพระว่า วันอุโบสถ (วัน 8 ค่ำ) หรือวันลงอุโบสถ (วัน 14 หรือ 15 ค่ำ) แล้วแต่กรณี

หลังจากนั้น พุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันธรรมสวนะสืบมา โดยจะเป็นวันสำคัญที่พุทธศาสนิกชนจะไปประชุมกันฟังพระธรรมเทศนาจากพระสงฆ์ที่วัด ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่าได้มีประเพณีวันพระมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

วันพระในปัจจุบัน คงเหลือธรรมเนียมปฏิบัติอยู่แต่เฉพาะประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ศรีลังกา, พม่า, ไทย, ลาว และเขมร (ในอดีตประเทศเหล่านี้ถือวันพระเป็นวันหยุดราชการ) โดยพุทธศาสนิกชนเถรวาทนับถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญที่จะถือโอกาสไปวัดเพื่อทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์และฟังพระธรรมเทศนา สำหรับ ผู้ที่เคร่งครัดในพระพุทธศาสนา อาจถือ ศีลแปด หรือ ศีลอุโบสถ ในวันพระด้วย นอกจากนี้ชาวพุทธยังถือว่าวันพระไม่ควรทำบาปใด ๆ โดยเชื่อกันว่าการทำบาปหรือไม่ถือศีลห้าในวันพระถือว่าเป็นบาปมากกว่าในวันอื่น

ในประเทศไทย หลังจากวันพระได้ถูกยกเลิกไม่ให้เป็นวันหยุดราชการ ทำให้วันพระที่กำหนดวันตาม ปฏิทินจันทรคติ ส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับปฏิทินที่ใช้กันอยู่ทั่วไป (เช่น วันพระไปตรงกับวันทำงานปกติ) ซึ่งคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญในปัจจุบันที่ทำให้พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยห่างจากการเข้าวัดเพื่อทำบุญในวันพระ

นอกจากนี้ ในประเทศไทยยังมีคำเรียกวันก่อนวันพระหนึ่งวันว่า วันโกน เพราะปกติในวันขึ้น 14 ค่ำปกติ ก่อนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์ในประเทศไทยที่จะโกนผมในวันนี้

https://www.youtube.com/watch?v=ZKZv3mfJBeo&index=43&list=PLre-8Hpeg_87H_h7p8oA8Fbue3SyQnSKB

***************************************************
#วันนี้วันพระ #ธรรมะสวัสดี #วันคล้ายวันเกิด #คุ้มครอง #แคล้วคลาด #สุขภาพดี #อายุยืน 
#สมหวังตามที่ตั้งใจ #วันธรรมสวนะ #วันอุโบสถ #พุทธศาสนิกชน #การฟังธรรม #วันขึ้น_8_ค่ำ #วันขึ้น_15_ค่ำ #วันเพ็ญ #วันแรม_8_ค่ำ #วันแรม_15_ค่ำ #เดือนขาด ถือเอา #วันแรม_14_ค่ำ #สมัยต้นพุทธกาล #พระเจ้าพิมพิสาร #พระสัมมาสัมพุทธเจ้า #ผู้ที่เคร่งครัดในพระพุทธศาสนา #ศีลแปด #ศีลอุโบสถ #ปฏิทินจันทรคติ #วันโกน #แก้ทุกข์ #แก้กรรม #กายกรรม_วจีกรรม_มโนกรรม #อกุศลกรรม #โลภะ_โทสะ_โมหะ #กุศลกรรม #กรรมดี #ความโลภ_ความโกรธ_ความหลง #จิต #การสวดมนต์ #ความไม่เที่ยง #อนิจจัง