วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การสวดพระอภิธรรม ทํานองหลวง ของ พระพิธีธรรม วัดต่างๆ ในปัจจุบัน


การสวดพระอภิธรรมในปัจจุบัน
แบ่งเป็น ๒ แบบ คือ
๑. แบบของประชาชน คือ ชาวบ้านทั่วไป
๒. แบบหลวง คือ สวดในราชพิธี

๑. สวดแบบของประชาชนทั่วไป
บทที่ใช้สวด มีดังนี้
๑. พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ สวดแบบธรรมดาไม่มีทํานอง
๒. พระอภิธรรมมัตถสังคหะ หรือเรียกย่อๆ ว่า สวดสังคหะ
๓. สวดพระมาลัย สวดสหัสนัย และอื่นๆ

๒. แบบหลวง หรือ ราชพิธี
ปัจจุบันมีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทํานองหลวง ในงานราชพิธีอยู่ ๑๐ วัด แบ่งเป็น ๒ ฝั่ง คือ
๑. ฝั่งธนบุรี มี ๔ วัด คือ
๑.๑ วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร
๑.๒ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร
๑.๓ วัดอนงคาราม วรวิหาร
๑.๔ วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร

๒. ฝั่งพระนคร มี ๖ วัด คือ
๒.๑ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
๒.๒ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ ราชวรมหาวิหาร
๒.๓ วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร
๒.๔ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
๒.๕ วัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร
๒.๖ วัดบวรนิเวศวิหาร ( ธ ) ราชวรวิหาร
หมายเหตุ วัดบวรนิเวศวิหาร ไม่มีพระสวดพระพิธีธรรม ดังนั้นวัดที่ปฏิบัติหน้าที่จริงๆ จึงมีเพียง ๙ วัด

บทสวดของพระพิธีธรรม ที่ใช้สวดในปัจจุบัน
มี ๒ แบบ คือ
๑. ใช้พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
๒. ใช้เฉพาะบท ธัมมสังคณีในส่วนของ อภิธัมมมาติกา ๕ บท คือ นีวรณา, สัญโญชนา, โอฆา, โยคา, และเวทนา

บทพระอภิธรรม ทํานองหลวง ของ พระพิธีธรรม วัดสระเกศ

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
นิวารณา ธมฺมา โน นิวารณา ธมฺมา นิวารณิยา ธมฺมา อนิวารณิยา ธมฺมา
นิวารณา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา นิวารณา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
นิวารณียาปิ อนิวารณียาปิ นิวารณา โคจฺฉกํ ฯ

สญฺโยชนา ธมฺมา โน สญฺโยชนา ธมฺมา สญฺโยชนิยา ธมฺมา อสญฺโยชนิยา ธมฺมา
สญฺโยชนา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา สญฺโยชนา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
สญฺโยชนียาปิ อสญฺโยชนียาปิ สญฺโยชนา โคจฺฉกํ ฯ

เวทนา ธมฺมา โน เวทนา ธมฺมา เวทนิยา ธมฺมา อเวทนิยา ธมฺมา
เวทนา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา เวทนา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
เวทนียาปิ อเวทนียาปิ เวทนา โคจฺฉกํ ฯ

คนฺถา ธมฺมา โน คนฺถา ธมฺมา คนฺถนิยา ธมฺมา อคนฺถนิยา ธมฺมา
คนฺถา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา คนฺถา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
คนฺถนียาปิ อคนฺถนียาปิ คนฺถา โคจฺฉกํ ฯ

โยคา ธมฺมา โน โยคา ธมฺมา โยคนิยา ธมฺมา อโยคนิยา ธมฺมา
โยคา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา โยคา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
โยคนียาปิ อโยคนียาปิ โยคา โคจฺฉกํ ฯ

โอฆา ธมฺมา โน โอฆา ธมฺมา โอฆนิยา ธมฺมา อโอฆนิยา ธมฺมา
โอฆา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา โอฆา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
โอฆนียาปิ อโอฆนียาปิ โอฆา โคจฺฉกํ ฯ

ขนฺธา ธมฺมา โน ขนฺธา ธมฺมา ขนฺธนิยา ธมฺมา อขนฺธนิยา ธมฺมา
ขนฺธา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา ขนฺธา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
ขนฺธนียาปิ อขนฺธนียาปิ ขนฺธา โคจฺฉกํ ฯ

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยถา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ ยถา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยถา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ
อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ, อธิคณฺหาติ ปณฺฑิโต, ทิฏฺเฐ ธมฺเม จ โย อตฺโถ, โย จตฺโถ สมฺปรายิโก
อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ ฯ



บทสวดของพระพิธีธรรม (วัดอนงคาราม)
*** เริ่มด้วย.... นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ )
ต่อด้วยบท สัญโญชะนา ดังนี้

สัญโญชะนา ธัมมา, โน สัญโญชะนา ธัมมา, สัญโญชะนิยา ธัมมา, อสัญโญชะนิยา ธัมมา, สัญโญชะนะสัมปะยุตตา ธัมมา, สัญโญชะนะวิปปะยุตตา ธัมมา, สัญโญชะนา เจวะ ธัมมา, สัญโญชะนิยา จะ สัญโญชะนิยา เจวะ ธัมมา, โน จะ สัญโญชะนา สัญโญชะนา เจวะ ธัมมา, สัญโญชะนะสัมปะยุตตา จะ สัญโญชะนะ สัมปะยุตตา เจวะ ธัมมา โน จะ สัญโญชะนา, สัญโญชะนะ วิปปะยุตตา โข ปะนะ ธัมมา สัญโญชะนิยาปิ, สัญโญชะนะ วิปปะยุตตา โข ปะนะ ธัมมา อสัญโญชะนิยาปิ.

คําแปล 
ธรรมที่เป็นสัญโญชน์, ธรรมที่ไม่เป็นสัญโญชน์, ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่ไม่เป็น
อารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่สัมปะยุตด้วยสัญโญชน์, ธรรมที่วิปปะยุตจากสัญโญชน์, ธรรมที่เป็น
สัญโญชน์และเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์แต่ไม่เป็นสัญโญชน์,
ธรรมที่เป็นสัญโญชน์และสัมปะยุตด้วยสัญโญชน์, ธรรมที่สัมปะยุตด้วยสัญโญชน์แต่ไม่เป็น
สัญโญชน์, ธรรมที่วิปปะยุตจากสัญโญชน์แต่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่วิปปะยุตจาก
สัญโญชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์.

บทที่ ๒ นีวรณา ธัมมา....
บทที่ ๓ โ อฆา ธัมมา....
บทที่ ๔ โยคา ธัมมา.....
บทที่ ๕ เวทะนา ธัมมา....
ทั้งหมดมีเนื้อความเหมือนบท สัญโญชะนา ทุกอย่าง.


อธิบายบทสวด 
๑. สัญโญชะนา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นสัญโญชน์ สัญโญชน์ แปลว่า กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ ( ในพระอภิธรรม ) คือ
๑.๑ กามราคะสัญโญชน์
๑.๒ ปะฏิฆะสัญโญชน์
๑.๓ มานะสัญโญชน์
๑.๔ ทิฏฐิสัญโญชน์
๑.๕ วิจิกิจฉาสัญโญชน์
๑.๖ สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์
๑.๗ ภะวะราคะสัญโญชน์
๑.๘ อิสสาสัญโญชน์
๑.๙ มัจฉริยะสัญโญชน์
๑.๑๐ อะวิชชาสัญโญชน์
๒. นีวรณา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นนิวรณ์
นิวรณ์ แปลว่า กิเลสที่ขวางกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี มี ๖ คือ
๒.๑ กามฉันทะนิวรณ์
๒.๒ พยาบาทนิวรณ์
๒.๓ ถีนมิทธะนิวรณ์
๒.๔ อุทธัจจกุกกุจจะนิวรณ์
๒.๕ วิจิกิจฉานิวรณ์
๒.๖ อะวิชชานิวรณ์
๓. โอฆา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นโอฆะ
โอฆะ แปลว่า กิเลสอันเป็นดุจกระแสน้ําหลากท่วมใจสัตว์ มี ๔ คือ
๓.๑ กามะโอฆะ
๓.๒ ภะวะโอฆะ
๓.๓ ทิฏฐิโอฆะ
๓.๔ อะวิชชาโอฆะ
๔. โยคา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นโยคะ
โยคะ แปลว่า กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ มี ๔ คือ
๔.๑ กามะโยคะ
๔.๒ ภะวะโยคะ
๔.๓ ทิฏฐิโยคะ
๔.๔ อะวิชชาโยคะ
๕. เวทะนา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นเวทนา
เวทะนา แปลว่า สภาพที่เสวยอารมณ์ มี ๕ คือ
๕.๑ สุข
๕.๒ ทุกข์
๕.๓ โสมนัส
๕.๔ โทมนัส
๕.๕ อุเบกขา


ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร สํานักพระราชวัง โทร. ๐ ๒๖๒๓ ๕๕๐๐ ต่อ ๓๑๐๓.๔ 
www.brh.thaigov.net/


วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พระพิธีธรรม และ ประเพณี การสวดพระอภิธรรม ทํานองหลวง

พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ 
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
By http://kanchanapisek.or.th, การใช้งานโดยชอบธรรม,
 https://th.wikipedia.org/w/index.php?curid=237224

พระพิธีธรรม คือ สมณศักดิ์ประเภทหนึ่ง (ไม่พระราชทานแก่พระสงฆ์ แต่พระราชทานแก่วัด) พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งจากวัดที่เป็น พระอารามหลวงเป็นส่วนมาก (ไม่ระบุพระสงฆ์วัดใดที่ไม่มีการโปรดเกล้าฯจะไม่สามารถตั้งพระพิธีธรรมได้ แม้แต่ในวัดนั้นจะมีพระสงฆ์ซึ่งเคยเป็นพระพิธีธรรมมาแล้วก็ตาม) ทางวัดจะแต่งตั้งวัดละ 1 สำรับ สำรับละ 4 รูป เป็นพระพิธีธรรม เพื่อสวดในการบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ เช่น สวดพระอภิธรรมในงานพระบรมศพ พระศพ หรือศพในพระบรมราชานุเคราะห์ สวดอาฎานาฏิยสูตรในพระราชพิธีสงกรานต์ เป็นต้น นอกจากนี้พระพิธีธรรมต้องไปสวดจตุรเวทที่หอศาสตราคมในพระบรมมหาราชวังทุกวันพระ เวียนกันไปวัดละ 1 เดือน
พัดยศประจำตำแหน่งพระพิธีธรรม
By http://www.heritage.thaigov.net/religion/pudyot/pic46.jpg, การใช้งานโดยชอบธรรม,
https://th.wikipedia.org/w/index.php?curid=255597


ประเพณีการสวดพระอภิธรรม 
และ 
พระอภิธรรมทํานองหลวง(สํารับวัดอนงคาราม )

ประเพณีการสวดพระอภิธรรม 

**********************
คัมภีร์สําคัญในพระพุทธศาสนา เรียกว่า “ พระไตรปิฎก ” มีอยู่ ๓ ปิฎก คือ พระวินัย ปิฎก พระสุตตันตะปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ในที่นี้ จะขอกล่าวเพียง พระอภิธรรมปิฎก ซึ่ง เป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงหลักธรรมล้วนๆ ไม่มีพาดพิงบุคคล, เหตุการณ์ หรือเรื่องราวต่างๆ ดังนั้นจึง ถือได้ว่า พระอภิธรรมปิฎก เป็นคัมภีร์ที่สําคัญที่สุด ลึกซึ้งที่สุด เข้าใจยากที่สุด และมีเนื้อหามาก ที่สุด โดยนับเป็นหัวข้อ ( ธรรมขันธ์ ) ได้ถึง ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ ์มากเท่ากับรวมพระวินัย ปิฎก ( ๒๑,๐๐๐ ) กับพระสุตตันตะปิฎก ( ๒๑,๐๐๐ ) เข้าด้วยกัน

เนื่องด้วยในสมัยพุทธกาลก็ดี หลังพุทธกาลก็ดี ยังไม่มีการจารึกหรือบันทึกคําสอน หรือ พระพุทธวจนะเป็นตัวหนังสือ จึงใช้วิธีท่องจําหรือสาธยายกันสืบๆ มา และเนื่องจากพระพุทธ วจนะ หรือคําสอนนั้น จัดเป็นสาระสําคัญของพระพุทธศาสนา หรือจะเรียกว่าเป็นตัว พระพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้ จึงเกิดความจําเป็นขึ้นมาว่า เมื่อจะรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ นอกจากจะท่องจําคําสอน หรือพระพุทธวจนะให้เป็นกิจวัตร และศึกษาทําความเข้าใจในเนื้อหา นั้นๆ แล้ว ก็ยังจําเป็นต้องมีการสวดสาธยายธรรมกันเป็นประเพณีด้วย และในการสาธยายธรรม นั้น มีที่ข้อน่าสังเกตดังนี้

๑. เกี่ยวกับพระวินัยปิฎก ได้มีพระพุทธบัญญัติให้ท่องจําและทบทวนกันทุกกึ่งเดือน ซึ่ง
ปัจจุบันก็คือ การลงอุโบสถฟังสวดพระปาติโมกข์ของพระสงฆ์นั่นเอง ซึ่งทุกวัดจะต้อง
ทําทุกวันพระขึ้น ๑๕ ค่ํา และแรม ๑๕ ค่ํา

๒. ในส่วนของพระสุตตันตะปิฎกนั้น เกิดประเพณีที่จะอนุรักษ์ไว้ ๒ วิธีด้วยกัน คือ
๒.๑ การท่องจําหัวข้อธรรม เพื่อรักษาพระพุทธศาสนา โดยถือเป็นการเรียนทางปริยัติศาสนา และการสาธยายธรรม ได้แก่ประเพณีสวดมนต์ทําวัตรเช้า.เย็น ทุกวันมิให้ขาด จึงเกิดมีหอ สวดมนต์ประจําวัดสืบกันมา จนทุกวันนี้
๒.๒ การสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล เนื่องในงานต่างๆ แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ
๒.๒.๑ สวดพระสูตร เช่น บทธรรมจักรกัปปะวัตนะสูตร และมงคลสูตร เป็นต้น
๒.๒.๒ สวดพระปริตร เช่น โมระปริตร ขันธะปริตร เป็นต้น
เพื่อคุ้มครอง ป้องกันภัยอันตรายทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นประเพณีการทําบุญ หรือ บําเพ็ญกุศลต่างๆ เช่น งานฉลองหรืองานทําบุญขึ้นบ้านใหม่ ได้นิมนต์พระสงฆ์ เจริญพระพุทธ มนต์ เพื่อเป็นสิริมงคล
บทสวดในงานดังกล่าวนี้ ก็นําข้อความสําคัญมาจากพระสุตตันตะปิฎกนั่นเอง มาเป็น แม่บท

๓. สําหรับพระอภิธรรมปิฎกนั้น จะนํามาสวดเฉพาะในงานบําเพ็ญกุศลเนื่องในงานศพ
เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้วายชนม์ แต่เนื้อหาที่แท้จริงนั้น ล้วนเป็นคําสอนที่มุ่งสอนคน
ที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้นําไปปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากกองทุกข์
ประเพณีการสวดพระอภิธรรมนั้น พอจะสรุปได้ว่ามีที่มาอยู่ ๒ ทาง คือ ทางตํานาน และทางสันนิษฐาน
ในทางตํานานนั้น สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในตํานานพระ ปริตรว่า “ พระสงฆ์ ในประเทศนี้ทุกสังฆารามถือเป็นกิจวัตรที่ต้องสวดมนต์ ( สาธยายธรรม ) เวลาเย็นทุกวันมิได้ขาด และมีหอสวดมนต์ประจําวัดทุกแห่ง ชาวบ้านก็พอใจนิมนต์พระสงฆ์มา สาธยายธรรมเมื่อบําเพ็ญกุศล เช่น สวดพระอภิธรรม สวดแจง และสวดพระสูตรต่างๆ ในงานศพ และพิธีปุพเปตพลีทั้งปวง ข้าพเจ้าเคยนึกว่าคนทั้งหลายทําไมจึงชอบนิมนต์พระสงฆ์ สวดพระ อภิธรรมในงานศพ หรือแม้แต่ในงานปุพเปตพลี ต่อมาได้เห็นอธิบายในหนังสือ ปฐม.สมโพธิ ของ สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ตอนเทศนาปริวัตปริจเฉจที่ ๑๗ กล่าวว่า “ เมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปยังดาวดึงส์สวรรค์ เพื่อจะเทศนาโปรดพระพุทธมารดา ทรงปรารภว่า ถ้าประทาน เทศนาพระสูตร หรือพระวินัย คุณยังไม่เท่าทันพระคุณของพระพุทธมารดาที่ได้มีมาแก่พระองค์ มีแต่พระอภิธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งมีคุณสมควรใช้ค่าน้ํานมและข้าวป้อนของพระพุทธมารดา ได้” ดังนี้
จึงเข้าใจว่า การซึ่งคนทั้งหลาย พอใจนิมนต์พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม แค่ประสงค์จะ สนองคุณผู้วายชนม์”

ส่วนในทางสันนิษฐานนั้น ก็ได้พิจารณาจากเนื้อหาของพระอภิธรรม ที่พระสงฆ์นํามาสวด นั้น เป็นเรื่องที่กล่าวถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นคําสอนที่กล่าวถึงสภาวธรรมตามที่เป็นจริง ให้ตระหนักถึงภาวะเกิด.ดับแห่งชีวิต ซึ่งเป็นไปเพื่อการคลายความกําหนัด ละวาง การยึดมั่นถือมั่น และเกิดธรรมสังเวชในชีวิต ดังนั้น ความมุ่งหมายที่แท้จริงของการสวดพระอภิธรรมนั้น เพื่อมุ่ง สอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ คือผู้ที่มาร่วมฟังสวดนั่นเอง

การสวดพระอภิธรรมในปัจจุบัน 
การสวดพระอภิธรรมในปัจจุบัน แบ่งเป็น ๒ แบบ คือ
๑. แบบของประชาชน คือ ชาวบ้านทั่วไป
๒. แบบหลวง คือ สวดในราชพิธี

๑. สวดแบบของประชาชนทั่วไป บทที่ใช้สวด มีดังนี้
๑. พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ สวดแบบธรรมดาไม่มีทํานอง
๒. พระอภิธรรมมัตถสังคหะ หรือเรียกย่อๆ ว่า สวดสังคหะ
๓. สวดพระมาลัย สวดสหัสนัย และอื่นๆ

๒. แบบหลวง หรือ ราชพิธี
ปัจจุบันมีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทํานองหลวง ในงานราชพิธีอยู่ ๑๐ วัด แบ่งเป็น ๒ ฝั่ง คือ
๑. ฝั่งธนบุรี มี ๔ วัด คือ
๑.๑ วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร
๑.๒ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร
๑.๓ วัดอนงคาราม วรวิหาร
๑.๔ วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร

๒. ฝั่งพระนคร มี ๖ วัด คือ
๒.๑ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
๒.๒ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ ราชวรมหาวิหาร
๒.๓ วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร
๒.๔ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
๒.๕ วัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร
๒.๖ วัดบวรนิเวศวิหาร ( ธ ) ราชวรวิหาร
หมายเหตุ วัดบวรนิเวศวิหาร ไม่มีพระสวดพระพิธีธรรม ดังนั้นวัดที่ปฏิบัติหน้าที่จริงๆ จึงมีเพียง ๙ วัด

บทสวดของพระพิธีธรรม ที่ใช้สวดในปัจจุบัน
มี ๒ แบบ คือ
๑. ใช้พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
๒. ใช้เฉพาะบท ธัมมสังคณีในส่วนของ อภิธัมมมาติกา ๕ บท คือ นีวรณา, สัญโญชนา, โอฆา, โยคา, และเวทนา
บทสวดของพระพิธีธรรม วัดอนงคาราม 
********* เริ่มด้วย.... นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ ) ต่อด้วยบท สัญโญชะนา ดังนี้ สัญโญชะนา ธัมมา, โน สัญโญชะนา ธัมมา, สัญโญชะนิยา ธัมมา, อสัญโญชะนิยา ธัมมา, สัญโญชะนะสัมปะยุตตา ธัมมา, สัญโญชะนะวิปปะยุตตา ธัมมา, สัญโญชะนา เจวะ ธัมมา, สัญโญชะนิยา จะ สัญโญชะนิยา เจวะ ธัมมา, โน จะ สัญโญชะนา สัญโญชะนา เจวะ ธัมมา, สัญโญชะนะสัมปะยุตตา จะ สัญโญชะนะ สัมปะยุตตา เจวะ ธัมมา โน จะ สัญโญชะนา, สัญโญชะนะ วิปปะยุตตา โข ปะนะ ธัมมา สัญโญชะนิยาปิ, สัญโญชะนะ วิปปะยุตตา โข ปะนะ ธัมมา อสัญโญชะนิยาปิ.
คําแปล
ธรรมที่เป็นสัญโญชน์, ธรรมที่ไม่เป็นสัญโญชน์, ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่ไม่เป็น
อารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่สัมปะยุตด้วยสัญโญชน์, ธรรมที่วิปปะยุตจากสัญโญชน์, ธรรมที่เป็น
สัญโญชน์และเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์แต่ไม่เป็นสัญโญชน์,
ธรรมที่เป็นสัญโญชน์และสัมปะยุตด้วยสัญโญชน์, ธรรมที่สัมปะยุตด้วยสัญโญชน์แต่ไม่เป็น
สัญโญชน์, ธรรมที่วิปปะยุตจากสัญโญชน์แต่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่วิปปะยุตจาก
สัญโญชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์.

บทที่ ๒ นีวรณา ธัมมา....
บทที่ ๓ โ อฆา ธัมมา....
บทที่ ๔ โยคา ธัมมา.....
บทที่ ๕ เวทะนา ธัมมา....
ทั้งหมดมีเนื้อความเหมือนบท สัญโญชะนา ทุกอย่าง.

อธิบายบทสวด 

๑. สัญโญชะนา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นสัญโญชน์ สัญโญชน์ แปลว่า กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ ( ในพระอภิธรรม ) คือ

๑.๑ กามราคะสัญโญชน์
๑.๒ ปะฏิฆะสัญโญชน์ ๑.๓ มานะสัญโญชน์ ๑.๔ ทิฏฐิสัญโญชน์ ๑.๕ วิจิกิจฉาสัญโญชน์ ๑.๖ สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ ๑.๗ ภะวะราคะสัญโญชน์
๑.๘ อิสสาสัญโญชน์ ๑.๙ มัจฉริยะสัญโญชน์ ๑.๑๐ อะวิชชาสัญโญชน์
๒. นีวรณา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นนิวรณ์
นิวรณ์ แปลว่า กิเลสที่ขวางกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี มี ๖ คือ ๒.๑ กามฉันทะนิวรณ์๒.๒ พยาบาทนิวรณ์ ๒.๓ ถีนมิทธะนิวรณ์ ๒.๔ อุทธัจจกุกกุจจะนิวรณ์ ๒.๕ วิจิกิจฉานิวรณ์ ๒.๖ อะวิชชานิวรณ์
๓. โอฆา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นโอฆะ
โอฆะ แปลว่า กิเลสอันเป็นดุจกระแสน้ําหลากท่วมใจสัตว์ มี ๔ คือ ๓.๑ กามะโอฆะ ๓.๒ ภะวะโอฆะ ๓.๓ ทิฏฐิโอฆะ ๓.๔ อะวิชชาโอฆะ
๔. โยคา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นโยคะ
โยคะ แปลว่า กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ มี ๔ คือ ๔.๑ กามะโยคะ ๔.๒ ภะวะโยคะ ๔.๓ ทิฏฐิโยคะ ๔.๔ อะวิชชาโยคะ
๕. เวทะนา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นเวทนา
เวทะนา แปลว่า สภาพที่เสวยอารมณ์ มี ๕ คือ ๕.๑ สุข ๕.๒ ทุกข์ ๕.๓ โสมนัส ๕.๔ โทมนัส ๕.๕ อุเบกขา


บทสวดพระอภิธรรม ทํานองหลวง พระพิธีธรรม วัดสระเกศ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
นิวารณา ธมฺมา โน นิวารณา ธมฺมา นิวารณิยา ธมฺมา อนิวารณิยา ธมฺมา
นิวารณา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา นิวารณา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
นิวารณียาปิ อนิวารณียาปิ นิวารณา โคจฺฉกํ ฯ

สญฺโยชนา ธมฺมา โน สญฺโยชนา ธมฺมา สญฺโยชนิยา ธมฺมา อสญฺโยชนิยา ธมฺมา 
สญฺโยชนา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา สญฺโยชนา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
สญฺโยชนียาปิ อสญฺโยชนียาปิ สญฺโยชนา โคจฺฉกํ ฯ

เวทนา ธมฺมา โน เวทนา ธมฺมา เวทนิยา ธมฺมา อเวทนิยา ธมฺมา 
เวทนา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา เวทนา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
เวทนียาปิ อเวทนียาปิ เวทนา โคจฺฉกํ ฯ

คนฺถา ธมฺมา โน คนฺถา ธมฺมา คนฺถนิยา ธมฺมา อคนฺถนิยา ธมฺมา 
คนฺถา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา คนฺถา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
คนฺถนียาปิ อคนฺถนียาปิ คนฺถา โคจฺฉกํ ฯ

โยคา ธมฺมา โน โยคา ธมฺมา โยคนิยา ธมฺมา อโยคนิยา ธมฺมา 
โยคา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา โยคา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
โยคนียาปิ อโยคนียาปิ โยคา โคจฺฉกํ ฯ

โอฆา ธมฺมา โน โอฆา ธมฺมา โอฆนิยา ธมฺมา อโอฆนิยา ธมฺมา 
โอฆา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา โอฆา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
โอฆนียาปิ อโอฆนียาปิ โอฆา โคจฺฉกํ ฯ

ขนฺธา ธมฺมา โน ขนฺธา ธมฺมา ขนฺธนิยา ธมฺมา อขนฺธนิยา ธมฺมา
ขนฺธา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา ขนฺธา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
ขนฺธนียาปิ อขนฺธนียาปิ ขนฺธา โคจฺฉกํ ฯ

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยถา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ ยถา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยถา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ
อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ, อธิคณฺหาติ ปณฺฑิโต, ทิฏฺเฐ ธมฺเม จ โย อตฺโถ, โย จตฺโถ สมฺปรายิโก
อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ ฯ

บทสวดพิเศษ คือ ติลักขณาทิคาถา
คือ คาถาพิจารณาไตรลักษณ์ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาของท่านผู้ที่มาฟังสวด.

สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข สัพเพ สังขารา ทุกขาติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข อัปปะกา เต มะนุสเสสุ อะถายัง อิตรา ปะชา เย จะ โข สัมมะทักขาเต เต ชะนา ปาระเมสสันติ กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ โอกา อะโนกะมาคัมมะ ตัตราภิระติมิจเฉยยะ ปะริโยทะเปยยะ อัตตานัง เยสัง สัมโพธิยังเคสุ อาทานะปะฏินิสสัคเค ขีณาสะวา ชุติมันโต ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ เอสะ มัคโค วิสุทธิยา เย ชะนา ปาระคามิโน ตีระเมวานุธาวะติ ธัมเม ธัมมานุวัตติโน มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต วิเวเก ยัตถะ ทูรมัง หิตะวา กาเม อะกิญจะโน จิตตะเกลเสหิ ปัณฑิโต สัมมา จิตตัง สุภาวิตัง อะนุปาทายะ เย ระตา เต โลเก ปะรินิพพุตาติ.

เมื่อใดบุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง เมื่อนั้น ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ข้อนี้เป็นทางแห่งความหมดจด
เมื่อใดบุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์ เมื่อนั้น ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ข้อนี้เป็นทางแห่งความหมดจด
เมื่อใดบุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา เมื่อนั้น ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ข้อนี้เป็นทางแห่งความหมดจด
ในหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย หมู่ชนที่ไปถึงฝั่งแห่งพระนิพพานมีน้อย หมู่สัตว์นอกนั้นทั้งหมด ย่อมเลาะอยู่ตามชายฝั่ง ( คือ สักกายทิฏฐิ )
เหล่าชนผู้มีปกติประพฤติตามธรรม ที่พระตถาคตตรัสไว้ชอบแล้ว จักถึงฝั่ง ( คือพระ นิพพาน ) ก้าวล่วงวัฏฏะ ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ ( คือ กิเลสมาร ) อันบุคคลข้ามได้ยาก
บัณฑิตควรละธรรมดําเสีย ยังธรรมขาวให้เจริญ อาศัยพระนิพพานที่ไม่มีความอาลัย พึงละกามคือความใคร่ทั้งหลายเสีย เป็นผู้ไม่มีความกังวล แล้วปรารถนาความยินดีในพระนิพพาน อันสงัด อันหาได้ยาก บัณฑิต ควรทําตนให้หมดจดผ่องแผ้ว จากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง แห่งจิตทั้งหลาย
จิต ที่บัณฑิตทั้งหลาย อบรมดีแล้วอย่างถูกต้องในองค์เป็นเหตุตรัสรู้ทั้งหลาย ทั้งไม่ถือมั่น ยินดีแล้วในการสละความยึดถือทั้งปวง
เหตุดังนี้ ย่อมทําให้บัณฑิตเหล่านั้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะกิเลส มีความโพลง ดับสนิทในโลก.

ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร สํานักพระราชวัง โทร. ๐ ๒๖๒๓ ๕๕๐๐ ต่อ ๓๑๐๓.๔ 
www.brh.thaigov.net/ 
 https://th.wikipedia.org/พระพิธีธรรม

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทสวด ถวายพระพร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ

บทสวด ถวายพระพรชัย
 บทสวด ถวายพระพร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
เนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๗๐ ปี
สัตตะติวัสสะรัชชะกาละวะระทานะคาถา
ภูมิพะโล มะหาราชาทัยยานัง สิริวัฑฒะโน
สัมพุทธะมามะโก อัคโคติพพะสัทโธ อะเนญชะโน
สะวีริโย สะมุสสาโหทีฆะทัสสี วิจักขะโณ
ทัยยะวาสีนะมัตถายะหิตายะ จะ สุขายะ จะ
รัชชัง ธัมเมนะ กาเรติกะรัณยานิ ปะกุพพะเต
ทุกขัปปัตเต จะ นิททุกเขภะยัปปัตเต จะ นิพภะเย
โสกัปปัตเต จะ นิสโสเกกาเรติ สัพพะทัยยิเก
ปะติฏฐา โหติ ทัยยานังอะนาถานัง หิตักกะโร
ปะมาณะเสฏฐะกิจจัสสะวิธิง วิเนติ โยนิโส
ตัสมา ภูมิพะโล เสฏโฐทัยยิกานัง มะโนหะโร
สักกะโต มานิโต โหติปูชิโต ธัมมะขัตติโย
สัพเพสัง ทัยยะวาสีนังปิโย โหติ มะนาปิโย
อิทาเนวะ มะหารัญโญปัฏฐายะ รัชชะกาละโต
ตัสสะ สัตตะติ วัสสานิปะริปุณณานิ สัพพะโส
ระตะนัตตะยานุภาเวนะระตะนัตตะยะเตชสา
ทีฆายุโก มะหาราชาวัณณูเปโต สุเขธิโต
พะลูเปโต จะ นิททุกโขอะโรโค โหตุ นิพภะโย
อุปัททะวันตะรายา จะอุปะสัคคา จะ อีติโย
มา กะทาจิ สัมผุสิงสุมะหาราชานุมุตตะมัง
ปัปโปตุ สัพพะโสตถิญจะสัพพัญจะ ชะยะมังคะลัง
อิจฉิตัง ปัตถิตัง สัพพังขิปปะเมวะ สะมิชฌะตูติฯ

คำแปล    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นมิ่งขวัญของมหาชนชาวไทย
ทรงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก ผู้ทรงกอปรด้วยพระราชศรัทธาตั้งมั่นมิหวั่นไหว ทรงถึงพร้อมด้วย
พระราชอุตสาหวิริยภาพ และพระราชญาณทัศนะกว้างไกล ยังแผ่นดินที่ทรงครองให้เป็นไปโดยธรรม
ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียะเพื่อประโยชน์มหาศาลแก่ผองไทย เช่นในยามทุกข์ ทรงปลอบปลุกให้ทุกข์สลาย
เช่นยามเกิดพิบัติภัยร้ายกาจ ทรงขจัดความโศกให้พินาศนิราศไกล ทรงเป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่เกื้อกูลให้ผู้ไร้ที่พึ่ง
ได้ลุถึงประโยชน์สุข ทรงแจกแจงวิธีดำรงชีวิตอย่างเท่าทันยุค คือหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างเยี่ยงอันแยบคาย
ให้อาณานิกรชนทั้งหลายได้อนุวัตพระราชปรัชญา
       ปรารภเหตุฉะนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระคุณอันประเสริฐ
จึงทรงเป็นศูนย์รวมใจของไทยนิกร จึงต่างสโมสรสมานฉันท์กันนอบน้อมบูชา เทิดทูนพระองค์
ว่าเป็นธรรมราชา ผู้ทรงเป็นที่หมายแห่งน้ำใจจงรัก ทรงเป็นที่พึ่งพำนักอันเอิบอาบปลาบปลื้มใจในแผ่นดินนี้
     จำเดิมนับแต่เสด็จผ่านพิภพ ล่วงเวลาบรรจบมาคำรบปีที่ ๗๐ แห่งรัชกาล ด้วยเดชานุภาพ
แห่งพระรัตนตรัย ขอพระมหาราชเจ้าจอมไทยจงทรงเจริญยิ่ง ด้วยพระชนมายุ พรรณ สุข พล
ทรงพ้นสรรพทุกข์ โรค ภัย อุปัทวันตราย อุปสรรค สิ่งมิพึงประสงค์จงสูญดับมิอาจกลับมาพ้องพาน
ในกาลไหนๆ ขอพระมหาราชเจ้าจอมไทย ทรงประสบสรรพสวัสดิชัยมงคล แม้นว่าทรงพระราชปรารถนา
บรรดาการใดๆ ในพระกมล ขอบรรดาการนั้นๆ จงพลันสัมฤทธิ์สำเร็จผลได้สมพระบรมราชปณิธาน
โดยถ้วนทุกประการเทอญฯ

(กองบาลีสนามหลวง แต่ง. มหาเถระสมาคม ตรวจแก้)


 บทสวด ถวายพระพร (รัชกาลที่ ๙)
“ ภูมิพลมหาราชวะรัสสะ ชะยะมังคะละคาถา  ”
ภูมิพะโล มะหาราชานะวะโม จักกิวังสิโก
รัฎฐัปปะสาสะเน พ๎ยัตโตนีติจาริตตะโกวิโท
สัมพุทธะมามะโก อัคโคสาสะนัสสูปะถัมมะโก
ธัมมิโก ทะสะธัมเมหิรัชชัง กาเรติ สัพพะทา
สะวีริโย สะมุสสาโหฑีฆะทัสสี วิจักขะโณ
ทัยยานัง วุฑฒิเปกโข โสสันติมัคคะนิโยชะโก
เตสัง ทุกขาปะเนตา จะสะทา สุโขปะสังหะโร
สัพพัตถะ สัพพะทัยยานังอะติปปิโย มะโนหะโร
สัพเพเปเต ปิยายันโตปิยะปุตเต ปิตาริวะ
สัพพะทัยยานะมัตถายะฐาเนสุ จะระมัตตะนา
สัมมาอาชีวะโยคัสสะวิธิง วิเนติ โยนิโส
ยา เจสา โลกะนาเถนะภาสิตา สะมะชีวิตา
อัตตานัง อุปะมัง กัต๎วาอะนุยุญชะติ ตัง สะทา
ทัยยานัง รัฎฐะปาลีนังเอตัญเจวานุสาสะติ
ภิกขูนัง สิกขะกามานังปิฎะกัตตะยะสิกขะนัง
สุพพะตัง ภิกขุสังฆัญจะภิยโยโส อุปะถัมภะติ
อิทาเนโส มะหาราชาทัยยานัง รัฏฐะวัฑฒะโน
สัฏฐิวัสสานิ ธัมเมนะรัชชัง กาเรติ โสตถินา
อีทิเส มังคะเล กาเลเทมัสสะ ชะยะมังคะลัง
ระตะนัตตะยานุภาเวนะระตะนัตตะยะเตชะสา
จิรัญชีวะตุ ฑีฆายุทัยยานัง ธัมมะขัตติโย
วัณณะวา พะละสัมปันโนนิรามะโย จะ นิพภะโย
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ยัง ยังตัง ตัง ตัสสะ สะมิชณะตุ
สะทา ปัสสะตุ ภัทรานิจิรัง รัชเช ปะติฏฐะตูติ.ฯ
(กองบาลีสนามหลวง แต่ง. มหาเถระสมาคม ตรวจแก้)

บทสวดถวายพระพร (แบบที่ ๒)
ภูมิพะละมะหาราชะวะรัสสะ ชะยะมังคะละคาถา
ภูมิพะโล มะหาราชาภูปาโล ทะสะธัมมิโก
เท๎ว หิ วัสสะสะหัสสานิปัญจัสสะตาธิกานิปิ
ท๎วิตาฬีสุตตะราเนวะยัส๎มิง โหนติ สุมังคะเล
ตัส๎มิง วัสเส มะหาปุญโญท๎วิสัตตะ ต๎ ยาวุวัฑฒะโก
ชินัสสะ สาสะเน สัทโธปะสันโน พุทธะมามะโก
ยะตีนัง สีละธารีนังโสปัตถัมภะทะโท สะมัง
อะยัง ภัททะมะหาราชาวิทู รัฏฐะปะสาสะเน
เขมัญจะ สัมปะวัตเตติโสตถิญจะ รัฏฐะวาสินัง
เสฏโฐ เสฏฐันทะโท ราชาทะทะมาโน อะภิกขะณัง
ยัตถะ อันธะตะมัง โหติทีปะโท ธัมมะขัตติโย
ภิยโยโส ทัยยะวาสีนังจิรัง โหติ อะติปปิโย
ระตะนัตตะยานุภาเวนะกะตะปุญญานะ เตชะสา
ทีฆายุโก มะหาราชาวัณณะวา จะ สุเขธิโต
พะลูเปโต อะนีโฆ จะอะโรโค โหตุ นิพภะโย
สัพเพ เทวานุโมทันตุเตชะวันโต ยะสัสสิโน
อะภิปาเลนตุ รักขันตุอิมัง ภูมิพะลัง สะทาติฯ
พระราชวิสุทธิดิลก (เชิด จิตฺตคุตฺโต ป.ธ. 9)  ... ตรวจแก้
วุฒินันท์   กันทะเตียน   ป.ธ.9  ... แต่ง  

บทกล่าวถวายพระพร
อิทัง มหาราชะ ภูมิพะละสะ สะราชินียา โหตุ สุขิโต โหตุ อโรโค โหตุ
ทีฆายุโก โหตุ มหาราชะ ภูมิพะโล สะราชินี

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราชและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราชและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
จงทรงพระเกษมสำราญ ปราศจากโรคาพยาธิแผ้วพาล มีพระชนม์มายุยิ่งยืนนาน ชั่วนิรันดร์เทอญ
 ทศพิธราชธรรม ๑. ทานัง การให้
๒. สีลัง รักษาศีล
๓. ปะริจาคัง บริจาค
๔. อาวัชชะวัง ความซื่อตรง
๕. มัททะวัง ความอ่อนโยน
๖. ตะปัง ความเพียร
๗. อักโกธัง ความไม่โกรธ
๘. อะวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน
๙. ขันติ ความอดทน
๑๐. อะวิโรธนัง ความเที่ยงธรรม
ทศพิธราชธรรม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ราชธรรม ๑๐" นี้
ปรากฏอยู่ใน พระสูตร   ขุททกนิกาย   ชาดก   ปรากฏพระคาถา ขุ.ชา.๒๘/๒๔๐/๘๖  

บทสวดถวายพระพรชัย
แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
หมวดบทสวด :  บทสวดถวายพระพร
ปะระมะราชินีนาถาภิถุติปะสิทธิวะระทานะคาถา
ปะระมะราชินีนาถา  สิริกิตติ   มะหายะสา
ปุญญาธิการะสัมปันนา  ทัยยานัง   สิริวัฑฒะนา
ธัมมิกา   ธิติสังยุตตา  สัพพะทา   ทีฆะทัสสินี
สัมพุทธะสาสะเนเยวะ  วิปปะสันเนนะ   เตชะสา
สัมพุทธะมามะกา   อัคคา  ภิยโย   ตัง   อุปะถัมภะติ
ทุกขัปปัตเต   จะ   นิทุกเข  ภะยัปปัตเต   จะ   นิพภะเย
สัพพะทัยเยปิ   กาเรติ  มะหาการุญญะเจตะสา
เมตโตทะเกนะ   โตเสติ  ฆัมเม   เทโววะ   เมทะนิง
ยัตถะ   อัจโจทะกัง   โหติ  ตัง   กาเรติ   สะโมทะกัง
ยัตถะ   อัปโปทะกัง   โหติ  ตัง   กาเรติ   ปะโหณะกัง
ยัง   ยัง   ภะชะติ   ภูมินทา  ตัง   ตัง   สุขัง   ปะกุพพะเต
เย   อุปายา   กะตา   โหนติ  ภาสิตา   จาปิ   จินติตา
สัพเพ   เต   รัฏฐะวาสีนัง  สุขัตถายะ   ปะวัตตะเร
สัมมาอาชีวะเมเสตัง  วิเนติ   อุปะถัมภะติ
ภิยโย   ผาสุวิหารายะ  ธะนาคะมังนุพ๎รูหิตุง
สิปปะอาชีวะเวมัชฌัง  กาเรติ   อะนุกัมปะกา
ตัส๎มา   สัมภาวิตา   โหติ  ปะชายะ   มาตุฐานิยา
สัพพะทัยยา   อิมาคัมมะ  สันติมัคคานุสาสะกัง
เอกะจิตตา   สะมัคคา   จะ  ทัยยะรัฏฐะวิวัฑฒะนา
อีทิเส   มังคะเล   กาเล  เทมัสสา   วะระมังคะลัง
ระตะนัตตะยานุภาวเวนะ  ระตะนัตตะยะเตชะสา
ปะระมะราชินี   เสฏฐา  ทัยยิกานัง   มะหาคุณา
ทีฆายุกา   อะโรคา   จะ  นิททุกขา   อะกุโตภะยา
วัณณูเปตา   พะลูเปตา  สุขิตา   โหตุ   สัพพะทา
จินติตา   สัพพะจินตาปิ  ปะริปูเรตุ   สัพพะโส
จิรัง   รัชเช   ปะติฏฐาตุ  ปะติฏฐา   ทัยยะวาสินัง
ทีฆายุตาทิสัมปันโน  ภูมิพะโล   นะริสสะโร
เต   ปุตตะธีตุนัตตาโร  ญาติสาโลหิตา   จะ   เต
ทัยยิกา   จะ   มะหามัจฉา  สุขิตา   โหนตุ   นิพภะยา
อันตะรายูปะสัคเคหิ  ทัยยะชาติ   วิมุจจะตุ
จิรัง   โลเก   ปะติฏฐาตุ  สัมมาสัมพุทธะสาสะนันติ   ฯ
คำแปล
     สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ  ของชาวไทย  ทรงมีพระยศยิ่งใหญ่  ถึงพร้อมด้วยพระบุญญาธิการ
เจริญด้วยพระสิริ  ตั้งอยู่ในธรรม  ประกอบพร้อมด้วยพระปัญญา  ทรงมีวิสัยทัศน์ยาวไกลเสมอ
ทรงนับถือพระสัมพุทธเจ้า  เป็นผู้ประเสริฐ  ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง
     เมื่อปวงชนชาวไทยประสบทุกข์ยาก  พระองค์ก็ทรงบำบัดทุกข์และเมื่อปวงชนชาวไทยประสบภัย
พระองค์ก็ทรงบำบัดภัย  ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ  ทรงช่วยเหลือพสกนิกรด้วยน้ำพระราชหฤทัยเปี่ยมด้วยเมตตา
เปรียบประดุจสายฝนในนภาหลั่งลงมาสู่ผืนดิน
     แห่งหนใดมีน้ำมาก  ทรงทำให้มีน้ำเหมาะสม  แห่งหนใดมีน้ำน้อยทรงทำให้มีน้ำเพียงพอ  สมเด็จพระนางเจ้าฯ
เสด็จฯ  ไปที่ใดๆ  ย่อมทำให้ที่นั้นๆ  มีความสุข
     โครงการใดๆ  ที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการ
ได้พระราชทานพระราชเสาวนีย์หรือทรงพระราชดำริโครงการเหล่านั้นทั้งหมด
ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อยู่ในราชอาณาจักร  ทรงแนะนำส่งเสริมสัมมาชีพแก่ประชาชน
พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยอนุเคราะห์  จึงให้ทรงก่อตั้งศูนย์ศิลปาชีพขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้
เพื่อให้ประชาชนได้อยู่อย่างมีความสุขยิ่งขึ้น
     ดังนั้น  พระองค์จึงได้รับการยกย่องให้เป็นแม่ของประชาชน
ปวงชนชาวไทยได้อาศัยพระโอวาทที่แนะนำให้ดำเนินไปสู่หนทางแห่งความศานตินี้  จึงรวมใจกัน  พร้อมเพรียงกัน
พัฒนาชาติไทยให้รุ่งเรือง
     เนื่องในโอกาสอันเป็นมงคลนี้  ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ขอถวายพระพรชัยมงคลแด่พระองค์ท่าน
ด้วยอานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัยด้วยเดชแห่งคุณพระรัตนตรัย  ขอสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถผู้ประเสริฐ  ผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวงต่อปวงชาวไทย  ขอพระองค์ทรงมีพระชนมพรรษายืนยาว
ไม่มีโรคภัย  ปราศจากทุกข์  อย่าได้มีภัยมาแต่ที่ไหนๆ  ให้ทรงสดใส  มีพระพลานามัย  ทรงพระเกษมสำราญทุกเมื่อ
ขอสิ่งที่พระองค์ทรงดำริทั้งปวงจงพรั่งพร้อมบริบูรณ์
     ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  ทรงสมบูรณ์ด้วยพระพรชัยนานาประการ
มีพระชนมพรรษายืนนานเป็นต้น  เป็นที่พึ่งของพสกนิกรชาวไทย  ดำรงอยู่ในสิริราชสมบัติสิ้นกาลนาน
     ขอให้พระราชโอรสพระราชธิดาและพระเจ้าหลานเธอ  รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์  ประชาชนชาวไทยและคณะรัฐมนตรี
จงเป็นผู้มีสุขปราศจากภัย
     ขอให้ประเทศไทยจงหลุดพ้นจากอันตรายและอุปสรรคทั้งหลาย
ขอให้พระพุทธศาสนาจงประดิษฐานมั่นคงอยู่ในโลกสิ้นกาลนานเทอญ  ฯ

เรื่องเล่าจาก สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี - อานิสงส์ของการ”สวดมนต์”

เรื่องเล่าจาก
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี
อานิสงส์ของการ”สวดมนต์”





  อาตมา (สมเด็จโต) ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเอง ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร ในสมัยนั้นเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูตผีวิญญาณ ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนตร์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใดก็จะกล่าวเพียงคำนี้ ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้ เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์


มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทมนตร์คาถาอาคมเล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทมนตร์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าเขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่ นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตมาถึง 7 วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย
วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทมนต์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมาจึงกลับมายังเขา ซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้นายผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมา จึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้ อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลยอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ
นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัดจงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่าการสวดมนต์ของท่านเช่นนี้ จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่านหรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูตผีปิศาจ ของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าขอรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่านอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น
อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำอาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก ดังขึ้นมา จึงได้จุดเที่ยนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัว ของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึ่งกล่าวคำสวดมนต์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักพำนักอยู่ อาตมาบอกว่าอาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้น ก็อันตรธานหายไป
นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้
ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า อานิสงส์ของการสวดมนต์มีคุณค่าสูงส่งยิ่งนัก
****************************************
“ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ”
เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้านครั้นพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา
เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์ “ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ”
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ • เมื่อฟังธรรม • เมื่อแสดงธรรม • เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์ • เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น • เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ
การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ • กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม • ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย • วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา ในการผิดพลาด
หากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียวอาตมาภาพ ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดับพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และ ประโยชน์แก่จิตอื่น
**ที่ว่า ประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด
**ที่ว่า ประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดา ทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่างดีเยี่ยม
ดูก่อน.. ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้ การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใด ๆ ก็ดีจะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล
จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต พรหมรังษี