
ประวัติพุทธศาสนาในอินเดีย
พระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ. 240 – 312) ได้ส่งพระธรรมทูตจากอินเดียไปประกาศ พุทธศาสนา 9 สาย โดยสายที่ 8 พระโสณะและพระอุตระเถระได้เดินทางไปยังสุวรรณภูมิประเทศหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน (ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนามและอินโดนีเซีย) ทำให้ไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธจากอินเดียมาตั้งแต่สมัยนั้น
หลังจากสมัยพุทธกาล พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองถึงที่สุดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ต่อมาระหว่าง พ.ศ. 1300 – 1700 คณะสงฆ์อ่อนแอลง รวมทั้งถูกศาสนาอื่นต่อต้านและบีบคั้น กอปรกับถูกชนชาติมุสลิมเข้ารุกรานและทำลายวัดวาอารามตลอดจนพระสงฆ์ ในที่สุดในช่วงปี พ.ศ. 1700 พุทธศาสนาจึงเสื่อมลงและสูญหายไปจากอินเดียในที่สุด ในปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษและได้นายเยาวหรลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) เป็นนายกรัฐมนตรี เนห์รูได้ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของประชาชนที่มาจากลัทธิและต่างศาสนาภายใต้แนวคิด “สหธรรม”
ในช่วงนี้ พุทธศาสนาได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งโดยบุคคลสำคัญ 2 ท่าน คือ นายกรัฐมนตรีอินเดีย และ ดร. บิมเรา รามจิ เอมเบดการ์ (Dr. Bhimrao Ramji Ambedkar) ผู้นำชาวพุทธ โดยรัฐบาลอินเดียได้บูรณะพุทธสถาน ส่งเสริมการศึกษา พุทธศาสนาและก่อตั้งมหาวิทยาลัยที่เมืองนาลันทาและเมืองมคธ วิทยาลัยพุทธที่เมืองบอมเบย์ ส่งเสริมการเรียนภาษาบาลีที่เมืองกัลกัตตา รวมทั้งจัดงานฉลองพุทธชยันตี หรือ ครบรอบ 2,500 ปีของพุทธศาสนา โดยเชิญประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนามาร่วมฉลอง และสร้างวัดในบริเวณรอบพระมหาเจดีย์พุทธ คยาด้วย ทำให้ประเทศไทยเริ่มมีบทบาทในเรื่องพุทธศาสนาในอินเดียอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ดร. เอมเบดการ์ได้นำคนวรรณะต่ำประมาณ 5 แสนคน ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะที่เมืองนาคปะ รัฐมหาราษฏระ ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นการฟื้นฟูพุทธศาสนาในอินเดียที่สำคัญ
อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นเพียง 53 วัน ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ดร. เอมเบดการ์ก็เสียชีวิตลง ทำให้ชาวพุทธในอินเดียขาดผู้นำคนสำคัญไป แต่พิธีปฏิญาณตนเป็น พุทธมามกะดังกล่าว ก็ยังดำเนินมาทุกปี พระสงฆ์จากประเทศไทยได้รับเชิญไปร่วมงานด้วยทุกครั้ง ในขณะที่พุทธศาสนาในอินเดียเสื่อมและสูญไปในช่วงปี พ.ศ. 1700 ประเทศไทยได้รับ พุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักของประเทศโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทำให้ พุทธศาสนาในประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองและมีความมั่นคง เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศและกลายเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2499 ซึ่งทางการอินเดียได้จัดงานฉลองพุทธชยันตี หรือครบรอบ 2,500 ปีของพุทธศาสนา และได้เชิญประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา รวมทั้งประเทศไทยร่วมฉลองและสร้างวัดที่เมืองคยานั้น รัฐบาลไทยได้ตอบสนอง โดยสร้างวัดไทยพุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหาร ในปี 2501 ซึ่งเป็นวัดของรัฐบาลไทยแห่งแรกในประเทศอินเดียและในต่างประเทศ นับตั้งแต่นั้นมามหาเถรสมาคมและรัฐบาลไทยก็ได้สนับสนุนการดำเนินงานของวัดไทยพุทธคยามาโดยตลอด มีการส่งคณะสงฆ์คณะละ 4 รูป ที่เรียกว่า คณะปัญจวรรค มาบริหารวัดในฐานะพระธรรมทูตไทยสายประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบัน มีพระเทพโพธิวิเทศ เป็นหัวหน้าพระธรรมทูต และเป็นเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา
ตลอดเวลากว่า 50 ปี คณะพระธรรมทูตไทยสายประเทศอินเดียทุกชุดได้ปฏิบัติหน้าที่ ในการทำนุบำรุงและเผยแผ่พุทธศาสนาในอินเดียและส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างคณะสงฆ์ไทยและคณะสงฆ์นานาชาติในอินเดียอย่างแข็งขันและได้ผลดียิ่ง การดำเนินงานเผยแผ่พุทธศาสนาของวัดไทยในอินเดียมีทั้งเรื่องการจัดการอุปบรรพชา อุปสมบท การศึกษาพระปริตร และการเผยแผ่พุทธศาสนาของพระภิกษุสามเณร ตลอดจนการปกครองดูแลคณะสงฆ์ แม่ชี และเจ้าหน้าที่ของวัดที่พำนักอยู่ที่วัด รวมถึงการต้อนรับและจัดที่พัก อาหาร และการรักษาพยาบาลให้แก่ พระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่มาจาริกแสวงบุญเป็นจำนวนมาก ด้วยการทำงานอย่างขันแข็งของพระธรรมทูตไทยสายประเทศอินเดีย ทำให้เกิดการจัดสร้างวัดไทยในอินเดียอีกจำนวนมาก อาทิ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ วัดไทยสิริราชคฤห์ วัดไทยนาลันทา วัดไทยไวสาลี วัดไทยเชตวัน เป็นต้น ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญกับพุทธศาสนามากขึ้น มีบุคคลต่างๆ ในวงราชการและการเมืองที่นับถือพุทธศาสนา มีโครงการฟื้นฟูมหาวิทยาลัยนาลันทาให้กลับมาเป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่เช่นในอดีต รวมทั้งโครงการพัฒนาสังเวชนียสถานให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาในรัฐพิหาร รัฐอุตตรประเทศ และรัฐต่างๆ ในอินเดีย ซึ่งเป็นดินแดนต้นกำเนิดพุทธศาสนา ซึ่งมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐต่างๆ ดังกล่าว อย่างยิ่ง
พุทธศาสนา ในอินเดียไม่เพียงแต่กระจุกตัวอยู่ในเขตวังเวชนียสถานเท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่อื่นๆ อีกมากที่ยังไม่เป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนมากนัก อาทิ วัฒนธรรมพุทธศาสนามหายานในแคว้นลดาข สิกขิม และธรรมศาลา เป็นต้น หรือ อิทธิพลของพุทธเถรวาทแบบประเทศไทยที่กระจายตัวอยู่ในกลุ่มคนไต ที่มีอัตตลักษณ์ ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมคล้าย คนไทยล้านนนา คนไตเหล่านี้กจะจายตัวอยู่ทางภาคอีสานของอินเดีย โดยเฉพาะในรัฐอัสสัมและอรุณาจัลประเทศ นอกจากนี้ ยังมีทางรัฐคุชราตซึ่งเป็นรัฐบ้านเกิดของมหาตมะ คานธี และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน นเรนทรา โมดี ที่มีชาวฮินดูเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธเป็นแสนๆ คน ซึ่งในปี 2558 นี้ สถานทูตฯ ร่วมกับสำนักงานพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล มีแผนที่จะนำพระพุทธรูปไปมอบให้กับชาวพุทธคุชราต ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการส่งเสริมพุทธศาสนานอกเขตสังเสชนียสถานของสถานทูตฯ
ข้อมูลการแสวงบุญที่อินเดีย
อินเดีย เป็นต้นกำเนิดของหลายศาสนาที่สำคัญ อาทิ พราหมณ์ ฮินดู เชน รวมถึงศาสนาพุทธ สังคมอินเดียจึงเป็นสังคมที่เปิดกว้างยอมรับความแตกต่างในการนับถือศาสนาที่ต่างกัน
อินเดียมีความสำคัญในฐานะเป็นดินแดนพุทธภูมิ คือเป็นดินแดนที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพุทธศาสนาหลายเหตุการณ์ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติที่ลุมพินี (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล) ตรัสรู้ที่พุทธคยา รัฐพิหาร แสดงปฐมเทศนาที่สารนาถ และปรินิพพานที่กุสินารา รัฐอุตรประเทศ สถานที่ทั้ง 4 แห่งนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า เป็นสถานที่ที่ชาวพุทธจะสามารถระลึกถึงพระองค์ได้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสังเวชนียสถาน 4 แห่ง ที่ชาวพุทธทั่วโลกนิยมเดินทางไปสักการะ นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีสถานที่ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น Unseen Buddhist Circuit ที่สำคัญของอินเดียที่เริ่มได้รับความนิยมในหมู่ผู้แสวงบุญชาวพุทธ อาทิ เมืองสาวัตถี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาอยู่นานที่สุดถึง 26 พรรษา เมืองไวสาลี ที่มีเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชที่ยังมีความสมบูรณ์ที่สุด ถ้ำอชันตา เอลลอรา ที่เป็นผลงานของชาวพุทธที่แกะสลักภูเขาทั้งลูกให้เป็นถ้ำ และเป็นพระพุทธรูปต่างๆ และวัฒนธรรมพุทธแบบมหายานในแคว้นลดาข (Ladakh) ที่มีทัศนียภาพที่สวยงามไม่แพ้หลายๆ ประเทศในยุโรป เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลีมีนโยบายส่งเสริมพุทธศาสนาในอินเดียที่นอกเหนือไปจากเส้นทางสังเวชนียสถานที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว
ในฐานะที่สังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่งนี้ (3 แห่งอยุ่ในอินเดีย 1 แห่งอยู่ในเนปาล) เป็นที่นิยมของผู้แสวงบุญชาวไทยที่นิยมเดินทางมาสักการะตั้งแต่ประมาณเดือน ตุลาคมถึงมีนาคม ของทุกปี เป็นเวลา 6 เดือน และบริษัทไทยไมล์ได้เปิดเส้นทางบินตรง เส้นทางกรุงเทพฯ – คยา และกรุงเทพฯ – พาราณสี ในช่วงเวลา 6 เดือน ดังกล่าว สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้จัดทำเพจ “แสวงบุญในอินเดีย” ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2558 และปรับปรุงข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คำแนะนำในการมาแสวงบุญ และให้ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและที่เป็นประโยชน์ ทั้งข้อมูลที่เกี่ยวกับพุทธสถาน หรือข้อคิดและธรรมะต่างๆ
การมาแสวงบุญ ในดินแดนพุทธภูมินั้น ไม่ใช่การมาท่องเที่ยวที่สะดวกสบายนัก ผู้แสวงบุญต้องมีศรัทธาสูงพร้อมที่จะเผชิญกับความลำบาก บางครั้งก็อาจเกิดปัญหาด้านสุขภาพและอุบัติเหตุ การเตรียมตัวให้พร้อมและศึกษาข้อมูลคำแนะนำต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และจะช่วยให้การเดินทางมาแสวงบุญประสบผลตามความตั้งใจมากขึ้น
ข้อมูลที่สถานเอกอัครราชทูตนำมาเผยแพร่ในเพจนี้ ได้ทั้งจากพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย พระนักศึกษาที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ และจากทางการอินเดียที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้หวังว่าข้อมูลสำหรับผู้แสวงบุญนี้จะเกิดประโยชน์กับผู้แสวงบุญชาวไทยทุกท่าน
คำแนะนำ การเตรียมตัวไปแสวงบุญสักการะสังเวชนียสถานในอินเดีย และ เนปาล
1. เตรียมใจ
การไปอินเดียถือว่าเป็นการไปแสวงบุญในฐานะชาวพุทธที่ต้องการสักการะและบูชาคุณพระพุทธเจ้า ดังนั้นการไปสักการะสถานที่ดังกล่าวเหล่านี้ ถือว่าไประลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและให้เกิดสติ ปลงธรรมสังเวชว่าทุกอย่างย่อมมีเหตุ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เป็นของธรรมดา ในฐานะชาวพุทธจึงถือเป็นการไปสักการะพระพุทธองค์ที่ตรงจุดที่สุด ณ สถานที่จริง เป็นการตามรอยพระพุทธบาทในดินแดนพุทธภูมิ ทั้งนี้ เป็นที่ยอมรับกันว่าในฐานะพุทธมามะกะ ควรหาโอกาสไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต
นอกจากการเตรียมใจที่เป็นบุญแล้ว ยังต้องเตรียมสภาพจิตใจให้พร้อมที่จะเผชิญกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความยากลำบากในการเดินทาง และสุขอนามัยต่าง ๆ ที่บ่อยครั้งก่อให้เกิดความรำคาญจนทำให้การมาทำบุญกลับไม่ได้รับความสบายใจกลับไป แต่ถ้าท่านทั้งหลายแตรียมใจให้พร้อมแล้ว บุญกุศลที่ทำในครั้งนี้ก็จะได้กลับไปอย่างเปี่ยมล้มเลยที่เดียว เคยมีคนกล่าวกับผู้เขียนว่า “อยากมาไหว้พระที่อินเดีย แต่กลัวสกปรก กลัวร้อน กลัวขอทาน กลัวหนู กลัวห้องน้ำไม่สะอาด กลัวกินอาหารแขกไม่ได้” ผู้เขียนจึงได้บอกกลับไปว่าถ้ายังมีความกลัวเหล่านี้อยู่ ก็อย่าเพิ่งมาอินเดียเลย แปลว่าคุณยังไม่พร้อมทั้งกายและใจที่จะมาได้รับบุญ
2. เตรียมกาย
การเดินทางไปแสวงบุญโดยปกติใช้เวลา ประมาณ 7-10 วัน เดินทางโดยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปลงที่คยาหรือพาราณสี จากนั้นนั่งรถบัสไปยังสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ทั้งในอินเดียและเนปาล ซึ่งเวลาในการเดินทางโดยรถยนต์นั้นนาน บางช่วงเดินทางทั้งวัน การเตรียมสุขภาพให้พร้อมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรหารือแพทย์ว่าจะสามารถเดินทางไกลได้หรือไม่ หรือหากเดินทางได้ ก็ควรเตรียมยาประจำตัวและสมุดสุขภาพเป็นภาษาอังกฤษไปด้วย เผื่อกรณีฉุกเฉิน จะได้มีข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง การเตรียมกายเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งต้องตระหนักว่าท่านต้องสามารถช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง หากเป็นผู้สูงอายุ แม้จะมีคนดูแลแต่ก็ต้องสามารถดูแลตัวเองได้ ท่านที่ทราบว่าแพ้อะไร ก็ควรเตรียมยารักษาโรคนั้นไปด้วย รวมทั้งสุขภัณฑ์พกพาประจำตัวที่ท่านต้องใช้ในระหว่างการเดินทาง อาทิ กระดาษทิชชู่เปียก เจลล้างมือ ฯลฯ เพื่อรักษาความสะอาด รวมทั้งเสื้อผ้าที่เหมาะสมสำหรับการไปแสวงบุญ ทั้งนี้ ช่วงฤดูการแสวงบุญจะอยู่ในช่วงอากาศหนาว จึงต้องเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อม และควรเตรียมอุปกรณ์กันฝุ่นหากเป็นผู้ที่มีอากาศแพ้ฝุ่นหรือเป็นผู้สูงอายุ เนื่องจากการเดินทางต้องเผชิญฝุ่นควันตลอดเวลา
ในปัจจุบันนับว่าเป็นบุญของผู้แสวงบุญที่พระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล นำโดยพระเดชพระคุณพระธรรมโพธิวงศ์ ได้จัดทีมแพทย์มาประจำการที่เมืองคยา และกุสินารา ในช่วงฤดูการแสวงบุญ มีรถพยาบาลเคลื่อนที่เร็วในกรณีฉุกเฉิน อีกทั้งมีการสร้างจุดแวะพักระหว่างทางไปสังเวชนียสถานต่างๆ ที่เป็นทั้งวัด ทั้งร้านขายของที่ระลึก และห้องสุขาที่สะอาด ที่ผู้เขียนมักจะบอกใคร ๆ ว่าสามารถเอาตัวลงไปนอนในห้องน้ำนั้นได้อย่างสบาย ๆ
3. เตรียมข้อมูล
เมื่อตัดสินใจว่าจะไปแสวงบุญ และได้เตรียมตัวเตรียมกายแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือหาข้อมูลของการเดินทาง ข้อมูลบริษัททัวร์ที่จะใช้บริการซึ่งก็หาไม่ยากนักจากอินเตอร์เน็ต ทั้งนี้ ใน พ.ศ. 2559 ผู้เขียนมักได้รับการร้องเรียนจากผู้แสวงบุญว่าถูกบริษัททัวร์หลอก เช่น ไม่ชี้แจงให้ชัดเจนว่าจะต้องนอนบนรถทัวร์ทุกวัน หรือให้บริการแลกเงินบาทเป็นเงินรูปีในอัตราแลกเปลี่ยนที่เอาเปรียบลูกทัวร์ หรือแม้กระทั่งทิ้งลูกทัวร์ไว้ในบางสถานที่โดยไม่นับจำนวนลูกทัวร์ให้ครบถ้วนก่อนออกเดินทาง ดังนั้น การเลือกบริษัททัวร์ที่น่าเชื่อถือ และอ่านรายละเอียดการเดินทาง ที่พัก ร้านอาหารให้ชัดเจน ก็จะป้องกันความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังได้ นอกจากนั้นการอ่านข้อมูลคร่าวๆ ของสถานที่ต่าง ๆ ก่อนเดินทางถึงสถานที่จริงจะยิ่งทำให้การเดินทางมาแสวงบุญนั้น น่าประทับใจและเป็นที่จดจำ
ข้อมูลทึ่สำคัญอีกส่างที่ควรรู้ คือ พุทธคยานี้อยู่ในรัฐพิหารซึ่งอยู่ในเขตอาณาของสถานกงสุลใหญ ณ เมืองกัลกัตตา ในส่วนของสารนาถ สถานที่ปฐมเทศนาและกุสินารา สถานที่ปรินิพพาน อยู่ในรัฐอุตตระประเทศซึ่งอยู่ในเขตอาณาของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ส่วนลุมพินีอยู่ในการดูแลของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฏมาณฑุ (ประเทศเนปาล) ดังนั้น หากผู้แสวงบุญต้องการติดต่อหน่วยงานที่ใกล้ที่สุดในระหว่างแสวงบุญก็สามารถติดต่อสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตตา (+91 9830260382) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี (+91 9599321484) และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ (เนปาล) (+977 9801069233) ได้
4. เตรียมเดินทาง
การเตรียมการเดินทางก็คือการเตรียมสัมภาระ เสื้อผ้า อุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งยารักษาโรค ซึ่งมีข้อแนะนำ ดังนี้
นำเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับการเดินทางโดยรถยนต์และที่ใส่สบายเหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม
เสื้อผ้าสำหรับอากาศหนาว
ไฟฉายและยากันยุง
อย่านำของมีค่าติดตัวไป
เตรียมยารักษาโรคประจำตัวและของใช้ส่วนตัว
เตรียมเงินไปให้เหมาะสมและพอดีกับการเดินทาง 10 วันรวมทั้งสำหรับการทำบุญตามวัดต่างๆ ซึ่งหากเป็นวัดไทย สามารถทำบุญด้วยเงินไทยหรือเงินเหรียญสหรัฐฯได้ นอกนั้นเป็นเงินรูปีอินเดีย
มือถือควรขอใช้บริการโทรระหว่างประเทศ หรือมาซื้อซิมของอินเดียใช้โทรกลับประเทศไทย
หนังสือเดินทางควรเก็บรักษาให้ดีและถ่ายเอกสารทำสำเนาไว้
สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งในอินเดียอาจไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์มือถือเข้าไปด้วย ซึ่งหากพลัดหลงกันจะทำให้ผู้แสวงบุญไม่สามารถติดต่อบริษัททัวร์ได้ ผู้แสวงบุญจึงควรจดเบอร์โทรศัพท์ของบริษัททัวร์ และเบอร์โทรสถานเอกอัครราชทูตฯ ติดตัวไว้เสมอ เพื่อให้สามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ในสถานที่ท่องเที่ยวนั้น ๆ ให้โทรศัพท์แจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องให้ได้
5. การเตรียมพร้อมระหว่างการเดินทาง
ในระหว่างการเดินทาง สิ่งที่ท่านจะต้องเจอ มีดังนี้
ความไม่สะอาดของสถานที่และสิ่งของในระหว่างการเดินทาง จึงควรเตรียมสุขภัณฑ์ทำความสะอาดส่วนตัวไปด้วย
การดื่มน้ำควรซื้อที่เป็นขวดที่มีมาตรฐานหรือที่เป็นกระป๋องเท่านั้น
อาหารควรเป็นอาหารที่ทัวร์แนะนำเท่านั้น
คนขายของข้างทางที่จะคะยั้นคะยอให้ซื้อของ ควรต่อรองราคาเท่าที่จะทำได้ หากไม่สนใจ ให้เดินผ่านโดยไม่ต้องแสดงความสนใจ
อย่าออกนอกกลุ่มหรือเส้นทางโดยลำพัง หากเกิดปัญหาต่างๆ ให้รีบแจ้งหัวหน้าทัวร์
การเดินทางไปตามสังเวชนียสถานเป็นการเดินทางที่ยาวนานระหว่างจุดหมาย และระหว่างทางก็มักจะไม่มีจุดจอดรถที่เหมาะสมมากนัก ยกเว้นวัดไทย ห้องน้ำอาจไม่สะอาดเท่าที่ควร ผู้แสวงบุญจึงควรทำใจและเตรียมพร้อมสำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยปรึกษาหัวหน้าทัวร์ทุกการเดินทางระหว่างวัน
การพักในวัดไทย ควรรักษากริยา มารยาทและสำรวมเพราะอยู่ในเขตวัด และรักษาความสะอาดให้กับสถานที่ทุกครั้ง
กรณีหนังสือเดินทางหาย ต้องติดต่อสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตา หรือ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ให้ออกเอกสารเดินทางกลับประเทศจึงจะสามารถเดินทางกลับได้ ทั้งนี้ หลีกเลี้ยงการหยิบหนังสือเดินทางออกมาดูในที่ที่มีคนพลุกพล่าน เพราะอาจถูกขโมยหรือวิ่งราวได้
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี
20 สิงหาคม 2560
คู่มือ คนไทย ใน อินเดีย

สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล
สังเวชนียสถาน (อ่านว่า สัง-เว-ชะ-นี-ยะ-สะ-ถาน) แปลว่า สถานที่อันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช เป็นคำที่ใช้เรียกสถานที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ
สังเวชนียสถาน หมายถึงสถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกระลึกถึงพระพุทธเจ้า เกิดความแช่มชื่น เบิกบาน เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำความดี เมื่อได้ไปพบเห็น
สังเวชนียสถาน มี 4 แห่ง คือ
- สถานที่ประสูติ
- สถานที่ตรัสรู้
- สถานที่แสดงปฐมเทศนา
- สถานที่ปรินิพพาน
สังเวชนียสถาน 4 แห่งนี้ ท่านว่าเป็นสถานที่ควรไปเคารพสักการะ ควรไปแสวงบุญ เพื่อให้เกิดความสังเวชและเกิดพุทธานุสติ อันจักนำมาซึ่งบุญกุศลและความปลาบปลื้มแช่มชื่นใจ จากเนื้อความในมหาปรินิพพานสูตร แสดงให้เห็นว่าสังเวชนียสถานทั้งสี่นี้ได้เกิดขึ้นโดยคำแนะนำของพระพุทธองค์ ที่ได้ตรัสว่า ผู้ใดระลึกถึงพระองค์ พึงจาริกไปยังสังเวชนียสถานทั้งสี่นี้ [1]
ต่อมาภายหลังจึงเกิดการจาริกไปยังสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์เพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง นั่นคือ[2]
- สถานที่เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
- สถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์
- สถานที่ทรมานช้างนาฬคีรี
- สถานที่ทรมานพญาวานร
ณ พระแท่นบรรทม หรือเตียงปรินิพพานนั้นเอง พระพุทธองค์ได้ทรงปรารถเรื่องรา่วต่างๆ หลายเรื่องกับพระอานนท์พุทธอุปัฎฐากรวมทั้งเรื่อง สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ตำบล จากในมหาปรินิพพานสูตร พอสรุปได้ดังนี้
ครั้งนั้นพระอานนท์เถรเจ้าได้กราบทูลพระองค์ว่า ในกาลก่อนภิกษุทั้งหลายที่ได้แยกย้ายกันไปจำพรรษาอยู่ตามชนบทในทิศต่างๆ เมื่อสิ้นไตรมาศครบ ๓ เดือนตามวินัยนิยมหรืออกพรรษาแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายก็ย่อมจะเดินทางมาเฝ้าพระองค์เป็นอาจิณวัตร ก็เพื่อจะได้เห็นจะได้เข้าใกล้ จะได้อุปัฎฐากพระองค์ อันจะทำให้เกิดความเจริญทางจิต ก็มาบัดนี้เมื่อกาลแห่งการล่วงไปแห่งพระองค์แล้ว ก็แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายก็จะไม่ได้เห็น จะไม่ได้นั่งใกล้ จะไม่ได้สากัจฉา(สนทนาธรรม) เหมือนกับสมัยที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอีกต่อไป
เมื่อพระอานนท์กราบทูลดังนี้แล้ว พระตถาคตเจ้าได้ทรงแสดงสถานที่ ๔ ตำบลว่าเป็นสิ่งที่ควรจะดู ควรจะได้เห็น ควรจะเกิดสังเวช (ความสลดใจกระตุ้นเตือนจิตใจให้คิดกระทำแต่สิ่งดีงาม) แก่กุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา คือ
๑. สถานที่พระตถาคตเจ้าบังเกิดแล้วคือ ประสูติจากพระครรภ์มารดา ตำบลหนึ่งคืออุทยานลุมพินี
๒. สถานที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณตำบลหนึ่งคือ ควงไม้โพธิ์ พุทธคยา
๓. สถานที่พระตถาคตเจ้าให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไป หรือแสดงปฐมเทศนาตำบลหนึ่ง คือ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (ปัจจุบันเรียก สารนาถ)
๔. สถานที่พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุตำบลหนึ่ง คือ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา (ปัจจุบันเรียก กาเซีย) ให้เกิดความสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา
อนึ่ง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธามายังสถานที่ ๔ ตำบลนี้ ด้วยมีความเชื่อว่า พระตถาคตเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไปแล้ว ณ สถานที่นี้ และพระตถาคตเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทเสสนิพพานธาตุแล้ว ณ สถานที่นี้
ดูก่อนอานนท์ ชนทั้งหลายเหล่าใด เจติยจาริกของพระตถาคตเจ้าทั้ง ๔ ตำบลนี้แล้ว จักเป็นคนเลื่อมใส เมื่อกระทำกาลกิริยา(ตาย)ลง ชนทั้งหลายเหล่านั้น จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความ ๔ ตำบลว่าเป็นที่ควรเห็น ควรดู ควรให้เกิดสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธาด้วยประการฉะนี้แล
นี้เองเป็นที่มาของสังเวชนียสถาน ๔ แห่งในดินแดนพุทธภูมิ ที่ชาวพุทธทั้งหลายสมควรอย่างยิ่งที่จะไปนมัสการ กราบไหว้สักการะสักครั้งหนึ่งในชีวิต
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๑ - สถานที่ประสูติ
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๒ - สถานที่ตรัสรู้
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๓ - สถานที่แสดงปฐมเทศนา
สังเวชนียสถานแห่งที่ ๔ - สถานที่ดับขันธปรินิพพาน
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี Royal Thai Embassy
New Delhi, Republic of India
D-1/3 Vasant Vihar, New Delhi 110057
Tel: +91 11 4977 4100
Fax: +91 11 4977 4199, +91 11 4059 1496
สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล