วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พระพิธีธรรม และ ประเพณี การสวดพระอภิธรรม ทํานองหลวง

พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ 
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
By http://kanchanapisek.or.th, การใช้งานโดยชอบธรรม,
 https://th.wikipedia.org/w/index.php?curid=237224

พระพิธีธรรม คือ สมณศักดิ์ประเภทหนึ่ง (ไม่พระราชทานแก่พระสงฆ์ แต่พระราชทานแก่วัด) พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งจากวัดที่เป็น พระอารามหลวงเป็นส่วนมาก (ไม่ระบุพระสงฆ์วัดใดที่ไม่มีการโปรดเกล้าฯจะไม่สามารถตั้งพระพิธีธรรมได้ แม้แต่ในวัดนั้นจะมีพระสงฆ์ซึ่งเคยเป็นพระพิธีธรรมมาแล้วก็ตาม) ทางวัดจะแต่งตั้งวัดละ 1 สำรับ สำรับละ 4 รูป เป็นพระพิธีธรรม เพื่อสวดในการบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ เช่น สวดพระอภิธรรมในงานพระบรมศพ พระศพ หรือศพในพระบรมราชานุเคราะห์ สวดอาฎานาฏิยสูตรในพระราชพิธีสงกรานต์ เป็นต้น นอกจากนี้พระพิธีธรรมต้องไปสวดจตุรเวทที่หอศาสตราคมในพระบรมมหาราชวังทุกวันพระ เวียนกันไปวัดละ 1 เดือน
พัดยศประจำตำแหน่งพระพิธีธรรม
By http://www.heritage.thaigov.net/religion/pudyot/pic46.jpg, การใช้งานโดยชอบธรรม,
https://th.wikipedia.org/w/index.php?curid=255597


ประเพณีการสวดพระอภิธรรม 
และ 
พระอภิธรรมทํานองหลวง(สํารับวัดอนงคาราม )

ประเพณีการสวดพระอภิธรรม 

**********************
คัมภีร์สําคัญในพระพุทธศาสนา เรียกว่า “ พระไตรปิฎก ” มีอยู่ ๓ ปิฎก คือ พระวินัย ปิฎก พระสุตตันตะปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ในที่นี้ จะขอกล่าวเพียง พระอภิธรรมปิฎก ซึ่ง เป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงหลักธรรมล้วนๆ ไม่มีพาดพิงบุคคล, เหตุการณ์ หรือเรื่องราวต่างๆ ดังนั้นจึง ถือได้ว่า พระอภิธรรมปิฎก เป็นคัมภีร์ที่สําคัญที่สุด ลึกซึ้งที่สุด เข้าใจยากที่สุด และมีเนื้อหามาก ที่สุด โดยนับเป็นหัวข้อ ( ธรรมขันธ์ ) ได้ถึง ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ ์มากเท่ากับรวมพระวินัย ปิฎก ( ๒๑,๐๐๐ ) กับพระสุตตันตะปิฎก ( ๒๑,๐๐๐ ) เข้าด้วยกัน

เนื่องด้วยในสมัยพุทธกาลก็ดี หลังพุทธกาลก็ดี ยังไม่มีการจารึกหรือบันทึกคําสอน หรือ พระพุทธวจนะเป็นตัวหนังสือ จึงใช้วิธีท่องจําหรือสาธยายกันสืบๆ มา และเนื่องจากพระพุทธ วจนะ หรือคําสอนนั้น จัดเป็นสาระสําคัญของพระพุทธศาสนา หรือจะเรียกว่าเป็นตัว พระพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้ จึงเกิดความจําเป็นขึ้นมาว่า เมื่อจะรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ นอกจากจะท่องจําคําสอน หรือพระพุทธวจนะให้เป็นกิจวัตร และศึกษาทําความเข้าใจในเนื้อหา นั้นๆ แล้ว ก็ยังจําเป็นต้องมีการสวดสาธยายธรรมกันเป็นประเพณีด้วย และในการสาธยายธรรม นั้น มีที่ข้อน่าสังเกตดังนี้

๑. เกี่ยวกับพระวินัยปิฎก ได้มีพระพุทธบัญญัติให้ท่องจําและทบทวนกันทุกกึ่งเดือน ซึ่ง
ปัจจุบันก็คือ การลงอุโบสถฟังสวดพระปาติโมกข์ของพระสงฆ์นั่นเอง ซึ่งทุกวัดจะต้อง
ทําทุกวันพระขึ้น ๑๕ ค่ํา และแรม ๑๕ ค่ํา

๒. ในส่วนของพระสุตตันตะปิฎกนั้น เกิดประเพณีที่จะอนุรักษ์ไว้ ๒ วิธีด้วยกัน คือ
๒.๑ การท่องจําหัวข้อธรรม เพื่อรักษาพระพุทธศาสนา โดยถือเป็นการเรียนทางปริยัติศาสนา และการสาธยายธรรม ได้แก่ประเพณีสวดมนต์ทําวัตรเช้า.เย็น ทุกวันมิให้ขาด จึงเกิดมีหอ สวดมนต์ประจําวัดสืบกันมา จนทุกวันนี้
๒.๒ การสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล เนื่องในงานต่างๆ แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ
๒.๒.๑ สวดพระสูตร เช่น บทธรรมจักรกัปปะวัตนะสูตร และมงคลสูตร เป็นต้น
๒.๒.๒ สวดพระปริตร เช่น โมระปริตร ขันธะปริตร เป็นต้น
เพื่อคุ้มครอง ป้องกันภัยอันตรายทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นประเพณีการทําบุญ หรือ บําเพ็ญกุศลต่างๆ เช่น งานฉลองหรืองานทําบุญขึ้นบ้านใหม่ ได้นิมนต์พระสงฆ์ เจริญพระพุทธ มนต์ เพื่อเป็นสิริมงคล
บทสวดในงานดังกล่าวนี้ ก็นําข้อความสําคัญมาจากพระสุตตันตะปิฎกนั่นเอง มาเป็น แม่บท

๓. สําหรับพระอภิธรรมปิฎกนั้น จะนํามาสวดเฉพาะในงานบําเพ็ญกุศลเนื่องในงานศพ
เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้วายชนม์ แต่เนื้อหาที่แท้จริงนั้น ล้วนเป็นคําสอนที่มุ่งสอนคน
ที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้นําไปปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากกองทุกข์
ประเพณีการสวดพระอภิธรรมนั้น พอจะสรุปได้ว่ามีที่มาอยู่ ๒ ทาง คือ ทางตํานาน และทางสันนิษฐาน
ในทางตํานานนั้น สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในตํานานพระ ปริตรว่า “ พระสงฆ์ ในประเทศนี้ทุกสังฆารามถือเป็นกิจวัตรที่ต้องสวดมนต์ ( สาธยายธรรม ) เวลาเย็นทุกวันมิได้ขาด และมีหอสวดมนต์ประจําวัดทุกแห่ง ชาวบ้านก็พอใจนิมนต์พระสงฆ์มา สาธยายธรรมเมื่อบําเพ็ญกุศล เช่น สวดพระอภิธรรม สวดแจง และสวดพระสูตรต่างๆ ในงานศพ และพิธีปุพเปตพลีทั้งปวง ข้าพเจ้าเคยนึกว่าคนทั้งหลายทําไมจึงชอบนิมนต์พระสงฆ์ สวดพระ อภิธรรมในงานศพ หรือแม้แต่ในงานปุพเปตพลี ต่อมาได้เห็นอธิบายในหนังสือ ปฐม.สมโพธิ ของ สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ตอนเทศนาปริวัตปริจเฉจที่ ๑๗ กล่าวว่า “ เมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปยังดาวดึงส์สวรรค์ เพื่อจะเทศนาโปรดพระพุทธมารดา ทรงปรารภว่า ถ้าประทาน เทศนาพระสูตร หรือพระวินัย คุณยังไม่เท่าทันพระคุณของพระพุทธมารดาที่ได้มีมาแก่พระองค์ มีแต่พระอภิธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งมีคุณสมควรใช้ค่าน้ํานมและข้าวป้อนของพระพุทธมารดา ได้” ดังนี้
จึงเข้าใจว่า การซึ่งคนทั้งหลาย พอใจนิมนต์พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม แค่ประสงค์จะ สนองคุณผู้วายชนม์”

ส่วนในทางสันนิษฐานนั้น ก็ได้พิจารณาจากเนื้อหาของพระอภิธรรม ที่พระสงฆ์นํามาสวด นั้น เป็นเรื่องที่กล่าวถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นคําสอนที่กล่าวถึงสภาวธรรมตามที่เป็นจริง ให้ตระหนักถึงภาวะเกิด.ดับแห่งชีวิต ซึ่งเป็นไปเพื่อการคลายความกําหนัด ละวาง การยึดมั่นถือมั่น และเกิดธรรมสังเวชในชีวิต ดังนั้น ความมุ่งหมายที่แท้จริงของการสวดพระอภิธรรมนั้น เพื่อมุ่ง สอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ คือผู้ที่มาร่วมฟังสวดนั่นเอง

การสวดพระอภิธรรมในปัจจุบัน 
การสวดพระอภิธรรมในปัจจุบัน แบ่งเป็น ๒ แบบ คือ
๑. แบบของประชาชน คือ ชาวบ้านทั่วไป
๒. แบบหลวง คือ สวดในราชพิธี

๑. สวดแบบของประชาชนทั่วไป บทที่ใช้สวด มีดังนี้
๑. พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ สวดแบบธรรมดาไม่มีทํานอง
๒. พระอภิธรรมมัตถสังคหะ หรือเรียกย่อๆ ว่า สวดสังคหะ
๓. สวดพระมาลัย สวดสหัสนัย และอื่นๆ

๒. แบบหลวง หรือ ราชพิธี
ปัจจุบันมีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทํานองหลวง ในงานราชพิธีอยู่ ๑๐ วัด แบ่งเป็น ๒ ฝั่ง คือ
๑. ฝั่งธนบุรี มี ๔ วัด คือ
๑.๑ วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร
๑.๒ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร
๑.๓ วัดอนงคาราม วรวิหาร
๑.๔ วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร

๒. ฝั่งพระนคร มี ๖ วัด คือ
๒.๑ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
๒.๒ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ ราชวรมหาวิหาร
๒.๓ วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร
๒.๔ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
๒.๕ วัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร
๒.๖ วัดบวรนิเวศวิหาร ( ธ ) ราชวรวิหาร
หมายเหตุ วัดบวรนิเวศวิหาร ไม่มีพระสวดพระพิธีธรรม ดังนั้นวัดที่ปฏิบัติหน้าที่จริงๆ จึงมีเพียง ๙ วัด

บทสวดของพระพิธีธรรม ที่ใช้สวดในปัจจุบัน
มี ๒ แบบ คือ
๑. ใช้พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
๒. ใช้เฉพาะบท ธัมมสังคณีในส่วนของ อภิธัมมมาติกา ๕ บท คือ นีวรณา, สัญโญชนา, โอฆา, โยคา, และเวทนา
บทสวดของพระพิธีธรรม วัดอนงคาราม 
********* เริ่มด้วย.... นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ ) ต่อด้วยบท สัญโญชะนา ดังนี้ สัญโญชะนา ธัมมา, โน สัญโญชะนา ธัมมา, สัญโญชะนิยา ธัมมา, อสัญโญชะนิยา ธัมมา, สัญโญชะนะสัมปะยุตตา ธัมมา, สัญโญชะนะวิปปะยุตตา ธัมมา, สัญโญชะนา เจวะ ธัมมา, สัญโญชะนิยา จะ สัญโญชะนิยา เจวะ ธัมมา, โน จะ สัญโญชะนา สัญโญชะนา เจวะ ธัมมา, สัญโญชะนะสัมปะยุตตา จะ สัญโญชะนะ สัมปะยุตตา เจวะ ธัมมา โน จะ สัญโญชะนา, สัญโญชะนะ วิปปะยุตตา โข ปะนะ ธัมมา สัญโญชะนิยาปิ, สัญโญชะนะ วิปปะยุตตา โข ปะนะ ธัมมา อสัญโญชะนิยาปิ.
คําแปล
ธรรมที่เป็นสัญโญชน์, ธรรมที่ไม่เป็นสัญโญชน์, ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่ไม่เป็น
อารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่สัมปะยุตด้วยสัญโญชน์, ธรรมที่วิปปะยุตจากสัญโญชน์, ธรรมที่เป็น
สัญโญชน์และเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์แต่ไม่เป็นสัญโญชน์,
ธรรมที่เป็นสัญโญชน์และสัมปะยุตด้วยสัญโญชน์, ธรรมที่สัมปะยุตด้วยสัญโญชน์แต่ไม่เป็น
สัญโญชน์, ธรรมที่วิปปะยุตจากสัญโญชน์แต่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์, ธรรมที่วิปปะยุตจาก
สัญโญชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์.

บทที่ ๒ นีวรณา ธัมมา....
บทที่ ๓ โ อฆา ธัมมา....
บทที่ ๔ โยคา ธัมมา.....
บทที่ ๕ เวทะนา ธัมมา....
ทั้งหมดมีเนื้อความเหมือนบท สัญโญชะนา ทุกอย่าง.

อธิบายบทสวด 

๑. สัญโญชะนา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นสัญโญชน์ สัญโญชน์ แปลว่า กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ ( ในพระอภิธรรม ) คือ

๑.๑ กามราคะสัญโญชน์
๑.๒ ปะฏิฆะสัญโญชน์ ๑.๓ มานะสัญโญชน์ ๑.๔ ทิฏฐิสัญโญชน์ ๑.๕ วิจิกิจฉาสัญโญชน์ ๑.๖ สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ ๑.๗ ภะวะราคะสัญโญชน์
๑.๘ อิสสาสัญโญชน์ ๑.๙ มัจฉริยะสัญโญชน์ ๑.๑๐ อะวิชชาสัญโญชน์
๒. นีวรณา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นนิวรณ์
นิวรณ์ แปลว่า กิเลสที่ขวางกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี มี ๖ คือ ๒.๑ กามฉันทะนิวรณ์๒.๒ พยาบาทนิวรณ์ ๒.๓ ถีนมิทธะนิวรณ์ ๒.๔ อุทธัจจกุกกุจจะนิวรณ์ ๒.๕ วิจิกิจฉานิวรณ์ ๒.๖ อะวิชชานิวรณ์
๓. โอฆา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นโอฆะ
โอฆะ แปลว่า กิเลสอันเป็นดุจกระแสน้ําหลากท่วมใจสัตว์ มี ๔ คือ ๓.๑ กามะโอฆะ ๓.๒ ภะวะโอฆะ ๓.๓ ทิฏฐิโอฆะ ๓.๔ อะวิชชาโอฆะ
๔. โยคา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นโยคะ
โยคะ แปลว่า กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ มี ๔ คือ ๔.๑ กามะโยคะ ๔.๒ ภะวะโยคะ ๔.๓ ทิฏฐิโยคะ ๔.๔ อะวิชชาโยคะ
๕. เวทะนา ธัมมา แปลว่า ธรรมที่เป็นเวทนา
เวทะนา แปลว่า สภาพที่เสวยอารมณ์ มี ๕ คือ ๕.๑ สุข ๕.๒ ทุกข์ ๕.๓ โสมนัส ๕.๔ โทมนัส ๕.๕ อุเบกขา


บทสวดพระอภิธรรม ทํานองหลวง พระพิธีธรรม วัดสระเกศ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
นิวารณา ธมฺมา โน นิวารณา ธมฺมา นิวารณิยา ธมฺมา อนิวารณิยา ธมฺมา
นิวารณา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา นิวารณา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
นิวารณียาปิ อนิวารณียาปิ นิวารณา โคจฺฉกํ ฯ

สญฺโยชนา ธมฺมา โน สญฺโยชนา ธมฺมา สญฺโยชนิยา ธมฺมา อสญฺโยชนิยา ธมฺมา 
สญฺโยชนา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา สญฺโยชนา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
สญฺโยชนียาปิ อสญฺโยชนียาปิ สญฺโยชนา โคจฺฉกํ ฯ

เวทนา ธมฺมา โน เวทนา ธมฺมา เวทนิยา ธมฺมา อเวทนิยา ธมฺมา 
เวทนา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา เวทนา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
เวทนียาปิ อเวทนียาปิ เวทนา โคจฺฉกํ ฯ

คนฺถา ธมฺมา โน คนฺถา ธมฺมา คนฺถนิยา ธมฺมา อคนฺถนิยา ธมฺมา 
คนฺถา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา คนฺถา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
คนฺถนียาปิ อคนฺถนียาปิ คนฺถา โคจฺฉกํ ฯ

โยคา ธมฺมา โน โยคา ธมฺมา โยคนิยา ธมฺมา อโยคนิยา ธมฺมา 
โยคา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา โยคา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
โยคนียาปิ อโยคนียาปิ โยคา โคจฺฉกํ ฯ

โอฆา ธมฺมา โน โอฆา ธมฺมา โอฆนิยา ธมฺมา อโอฆนิยา ธมฺมา 
โอฆา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา โอฆา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
โอฆนียาปิ อโอฆนียาปิ โอฆา โคจฺฉกํ ฯ

ขนฺธา ธมฺมา โน ขนฺธา ธมฺมา ขนฺธนิยา ธมฺมา อขนฺธนิยา ธมฺมา
ขนฺธา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา ขนฺธา วิปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา
ขนฺธนียาปิ อขนฺธนียาปิ ขนฺธา โคจฺฉกํ ฯ

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยถา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ ยถา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยถา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ
อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ, อธิคณฺหาติ ปณฺฑิโต, ทิฏฺเฐ ธมฺเม จ โย อตฺโถ, โย จตฺโถ สมฺปรายิโก
อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ ฯ

บทสวดพิเศษ คือ ติลักขณาทิคาถา
คือ คาถาพิจารณาไตรลักษณ์ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาของท่านผู้ที่มาฟังสวด.

สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข สัพเพ สังขารา ทุกขาติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข อัปปะกา เต มะนุสเสสุ อะถายัง อิตรา ปะชา เย จะ โข สัมมะทักขาเต เต ชะนา ปาระเมสสันติ กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ โอกา อะโนกะมาคัมมะ ตัตราภิระติมิจเฉยยะ ปะริโยทะเปยยะ อัตตานัง เยสัง สัมโพธิยังเคสุ อาทานะปะฏินิสสัคเค ขีณาสะวา ชุติมันโต ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ เอสะ มัคโค วิสุทธิยา เย ชะนา ปาระคามิโน ตีระเมวานุธาวะติ ธัมเม ธัมมานุวัตติโน มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต วิเวเก ยัตถะ ทูรมัง หิตะวา กาเม อะกิญจะโน จิตตะเกลเสหิ ปัณฑิโต สัมมา จิตตัง สุภาวิตัง อะนุปาทายะ เย ระตา เต โลเก ปะรินิพพุตาติ.

เมื่อใดบุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง เมื่อนั้น ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ข้อนี้เป็นทางแห่งความหมดจด
เมื่อใดบุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์ เมื่อนั้น ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ข้อนี้เป็นทางแห่งความหมดจด
เมื่อใดบุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา เมื่อนั้น ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ข้อนี้เป็นทางแห่งความหมดจด
ในหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย หมู่ชนที่ไปถึงฝั่งแห่งพระนิพพานมีน้อย หมู่สัตว์นอกนั้นทั้งหมด ย่อมเลาะอยู่ตามชายฝั่ง ( คือ สักกายทิฏฐิ )
เหล่าชนผู้มีปกติประพฤติตามธรรม ที่พระตถาคตตรัสไว้ชอบแล้ว จักถึงฝั่ง ( คือพระ นิพพาน ) ก้าวล่วงวัฏฏะ ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ ( คือ กิเลสมาร ) อันบุคคลข้ามได้ยาก
บัณฑิตควรละธรรมดําเสีย ยังธรรมขาวให้เจริญ อาศัยพระนิพพานที่ไม่มีความอาลัย พึงละกามคือความใคร่ทั้งหลายเสีย เป็นผู้ไม่มีความกังวล แล้วปรารถนาความยินดีในพระนิพพาน อันสงัด อันหาได้ยาก บัณฑิต ควรทําตนให้หมดจดผ่องแผ้ว จากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง แห่งจิตทั้งหลาย
จิต ที่บัณฑิตทั้งหลาย อบรมดีแล้วอย่างถูกต้องในองค์เป็นเหตุตรัสรู้ทั้งหลาย ทั้งไม่ถือมั่น ยินดีแล้วในการสละความยึดถือทั้งปวง
เหตุดังนี้ ย่อมทําให้บัณฑิตเหล่านั้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะกิเลส มีความโพลง ดับสนิทในโลก.

ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร สํานักพระราชวัง โทร. ๐ ๒๖๒๓ ๕๕๐๐ ต่อ ๓๑๐๓.๔ 
www.brh.thaigov.net/ 
 https://th.wikipedia.org/พระพิธีธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น