วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วันนี้วันพระ ธรรมะสวัสดี ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนสิบ(๑๐) ปีระกา .. 29 สิงหาคม พ.ศ.2560

วันนี้วันพระ ธรรมะสวัสดี ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนสิบ(๑๐) ปีระกา..:) 
และ อาจจะเป็น..วันคล้ายวันเกิด..ของบางคน..😊

ขอให้ จิต(สงบ) ใจ(สบาย) กาย(แข็งแรง) ..:) 
ธรรมะ..คุ้มครอง แคล้วคลาด สุขภาพดี อายุยืน 
ทั้ง สมหวังตามที่ตั้งใจ ไว้ทุกประการ..ครับ..ผม..:D


***************************************************
วันพระ หรือ วันธรรมสวน หรือ วันอุโบสถ หมายถึง วันประชุมของ พุทธศาสนิกชน เพื่อปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาในพระพุทธศาสนาประจำสัปดาห์ หรือที่เรียกกันทั่วไปอีกคำหนึ่งว่า "วันธรรมสวนะ" อันได้แก่วันถือศีลฟังธรรม (ธรรมสวนะ หมายถึง การฟังธรรม) โดยวันพระเป็นวันที่มีกำหนดตามปฏิทินจันทรคติ โดยมีเดือนละ 4 วัน ได้แก่ วันขึ้น_8_ค่ำ, วันขึ้น_15_ค่ำ (วันเพ็ญ), วันแรม_8_ค่ำ และ วันแรม_15_ค่ำ (หากเดือนใดเป็น เดือนขาด ถือเอา วันแรม_14_ค่ำ)

วันพระ นั้นเดิมเป็นธรรมเนียมของปริพาชกอัญญเดียรถีย์ (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) ที่จะประชุมกันแสดงธรรมทุก ๆ วัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ ซึ่งใน สมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้ายังคงไม่ได้ทรงวางระเบียบในเรื่องนี้ไว้ ต่อมา พระเจ้าพิมพิสาร ได้เข้าเฝ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลพระราชดำริของพระองค์ว่านักบวชศาสนาอื่นมีวันประชุมสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรมคำสั่งสอนในศาสนาของเขา แต่ว่าพุทธศาสนายังไม่มี พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้มีการประชุมพระสงฆ์ในวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ และอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ประชุมสนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันดังกล่าว โดยตามพระไตรปิฎกเรียกวันพระว่า วันอุโบสถ (วัน 8 ค่ำ) หรือวันลงอุโบสถ (วัน 14 หรือ 15 ค่ำ) แล้วแต่กรณี

หลังจากนั้น พุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันธรรมสวนะสืบมา โดยจะเป็นวันสำคัญที่พุทธศาสนิกชนจะไปประชุมกันฟังพระธรรมเทศนาจากพระสงฆ์ที่วัด ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่าได้มีประเพณีวันพระมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

วันพระในปัจจุบัน คงเหลือธรรมเนียมปฏิบัติอยู่แต่เฉพาะประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ศรีลังกา, พม่า, ไทย, ลาว และเขมร (ในอดีตประเทศเหล่านี้ถือวันพระเป็นวันหยุดราชการ) โดยพุทธศาสนิกชนเถรวาทนับถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญที่จะถือโอกาสไปวัดเพื่อทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์และฟังพระธรรมเทศนา สำหรับ ผู้ที่เคร่งครัดในพระพุทธศาสนา อาจถือ ศีลแปด หรือ ศีลอุโบสถ ในวันพระด้วย นอกจากนี้ชาวพุทธยังถือว่าวันพระไม่ควรทำบาปใด ๆ โดยเชื่อกันว่าการทำบาปหรือไม่ถือศีลห้าในวันพระถือว่าเป็นบาปมากกว่าในวันอื่น

ในประเทศไทย หลังจากวันพระได้ถูกยกเลิกไม่ให้เป็นวันหยุดราชการ ทำให้วันพระที่กำหนดวันตาม ปฏิทินจันทรคติ ส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับปฏิทินที่ใช้กันอยู่ทั่วไป (เช่น วันพระไปตรงกับวันทำงานปกติ) ซึ่งคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญในปัจจุบันที่ทำให้พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยห่างจากการเข้าวัดเพื่อทำบุญในวันพระ

นอกจากนี้ ในประเทศไทยยังมีคำเรียกวันก่อนวันพระหนึ่งวันว่า วันโกน เพราะปกติในวันขึ้น 14 ค่ำปกติ ก่อนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์ในประเทศไทยที่จะโกนผมในวันนี้

https://www.youtube.com/watch?v=ZKZv3mfJBeo&index=43&list=PLre-8Hpeg_87H_h7p8oA8Fbue3SyQnSKB

***************************************************
#วันนี้วันพระ #ธรรมะสวัสดี #วันคล้ายวันเกิด #คุ้มครอง #แคล้วคลาด #สุขภาพดี #อายุยืน 
#สมหวังตามที่ตั้งใจ #วันธรรมสวนะ #วันอุโบสถ #พุทธศาสนิกชน #การฟังธรรม #วันขึ้น_8_ค่ำ #วันขึ้น_15_ค่ำ #วันเพ็ญ #วันแรม_8_ค่ำ #วันแรม_15_ค่ำ #เดือนขาด ถือเอา #วันแรม_14_ค่ำ #สมัยต้นพุทธกาล #พระเจ้าพิมพิสาร #พระสัมมาสัมพุทธเจ้า #ผู้ที่เคร่งครัดในพระพุทธศาสนา #ศีลแปด #ศีลอุโบสถ #ปฏิทินจันทรคติ #วันโกน #แก้ทุกข์ #แก้กรรม #กายกรรม_วจีกรรม_มโนกรรม #อกุศลกรรม #โลภะ_โทสะ_โมหะ #กุศลกรรม #กรรมดี #ความโลภ_ความโกรธ_ความหลง #จิต #การสวดมนต์ #ความไม่เที่ยง #อนิจจัง

วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วิธีแก้ความมักโกรธ ฟุ้งซ่าน ทุศีล แนวทางคิด และ พิจารณา พุทธวจน อาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล

วิธีแก้ความมักโกรธ ฟุ้งซ่าน ทุศีล แนวทางคิด และ พิจารณา
พุทธวจน อาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล 


พุทธศาสนสุภาษิต หมวดที่ ๗ ความโกรธ

โกธํ ทเมน อุจฺฉินฺเท
พึงตัดความโกรธด้วยความข่มใจ

โกโธ สตฺถมลํ โลเก
ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก

โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ
ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข

โกธํ ปญฺญาย อุจฺฉินฺเท
พึงตัดความโกรธด้วยปัญญา

โกธสมฺมทสมฺมตฺโต อายสกฺยํ นิคจฺฉติ
ผู้เมามึนด้วยความโกรธ ย่อมถึงความไร้ยศศักดิ์

ยํ กุทฺโธ อุปโรเธติ สุกรํ วิย ทุกฺกรํ
ผู้โกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย

อนตฺถชนโน โกโธ
ความโกรธก่อความพินาศ

ทุกฺขํ สยติ โกธโน
คนมักโกรธ ย่อมอยู่เป็นทุกข์

อปฺโป หุตฺวา พหุ โหติ วฑฺฒเต โส อขนฺติโช
ความโกรธน้อยแล้วมาก มันเกิดจากความไม่อดทน จึงทวีขึ้น

ปจฺฉา โส วิคเต โกเธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ
ภายหลังเมื่อความโกรธหายแล้ว เขาย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกไฟไหม้

การโกรธเป็นปุถุชนวิสัย การให้อภัยเป็นวิสัยบัณฑิต
ความไม่โกรธเป็นลาภอันประเสริฐ :
หยุดโกรธให้ทัน ก่อนที่มันจะลุกลาม

     ตั้งแต่เล็กจนโต คนเราล้วนเคยโกรธมานับครั้งไม่ถ้วน และคงมีบางครั้งใช่ไหม ที่ความโกรธทำให้คุณตกอยู่ในภาวะ “โกรธคือโง่ ก็รู้ โมโหคือบ้า ก็รู้ แต่ยั้งใจไว้ไม่อยู่ ทำอย่างไรได้” สุดท้ายก็เผลอตัวทำอะไรแย่ๆลงไป จนต้องมานั่งเสียใจและโกรธตัวเองซ้ำๆในภายหลัง เพื่อไม่ให้คุณพลาดพลั้ง เพราะยับยั้งความโกรธไว้ไม่ทัน จึงมีวิธีดับไฟโกรธแบบปัจจุบันทันด่วนมาฝาก

     1.  ตามหาความโกรธให้เจอ ยอมรับว่า ตนเองกำลังรู้สึกโกรธ ใช้เวลาตามหาและระลึกรู้อารมณ์โกรธของตัวเองสักพัก แล้วความโกรธจะหายไป โดยที่คุณแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
     2.  ตอบตัวเองว่า “ต้องการเอาชนะความโกรธ”
     3.  อย่าคิดว่า “ฉันไม่มีอะไรจะเสีย” ในความจริงนั้น ความโกรธทำให้คุณเสียสิ่งที่คุณมีได้หลายอย่าง ที่แน่ๆคือ สูญเสียสิ่งที่ทำให้คุณเป็นมนุษย์
     4.  แอบกระซิบตัวเองว่า “เราไม่โกรธก็ได้นี้น่า”
     5.  อย่าหวงแหนความโกรธ การนอนกอดความโกรธ ไม่เคยทำให้ใครฝันดีเลย ทางที่ดีคุณควรหาทางระบายความโกรธออกมาอย่างสร้างสรรค์ เช่น วาดภาพหรือเขียนบรรยายความขึ้งเคียดออกมา เป็นบทเพลงหรือบทกวี (แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่ระรานหรือละเมิดสิทธิใครนะคะ)


โกรธอย่างไรให้เกิดปัญญา :
คนเราสามารถรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจได้ตลอดเวลา แต่ความโกรธจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นความผิดบาป ตราบใดที่คุณหยุดยั้งความโกรธไว้ ให้เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นและดับไป และการใช้สติพิจารณาเพื่อละความโกรธนั้นก็ไม่ได้ยากเกิน คุณจะทำความเข้าใจและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

1.พิจารณาโทษของการเป็นคนโกรธ ผู้ที่เริ่มโกรธก่อน นับว่าเป็นคนเลวอยู่แล้ว แต่คนที่โกรธตอบนั้นนับว่าเลวหนักว่าหลายเท่า เพราะเท่ากับเป็นผู้สานต่อความเลวให้ยืดยาวต่อไป พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า เราอย่าเป็นทั้งคนเลวและคนที่เลวกว่านั้นเลย
2.พิจารณาโทษของความโกรธ คนเราเมื่อโกรธจะเปิดปากกว้าง แต่ตาสองข้างจะหรี่ปิด ทำให้มองไม่เห็นโทษร้ายแรงของความโกรธ ยามโกรธจึงมักไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ไม่กลัวบาป ฉะนั้นยิ่งโกรธมากเท่าใด ยิ่งต้องตั้งสติให้มั่นและระลึกไว้ว่า ความโกรธนั้นเป็นภัยร้ายแรง การสะสมความโกรธไว้ในใจ ก็ไม่ต่างอะไรกับการสะสมวัตถุระเบิด วันหนึ่งย่อมระเบิดตูมตาม ทำลายตัวเอง
3.พิจารณาถึงความดีของคนที่เราโกรธ ธรรมชาติของมนุษย์เดินดินนั้น ย่อมมีทั้งดีเลวปะปนกัน
4.พิจารณาว่าความโกรธคือการลงโทษตัวเองให้สมใจศัตรู
5.พิจารณาว่าสัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน ความโกรธถือเป็นอกุศลกรรม ผู้ใดโกรธ ผู้นั้นย่อมได้รับผลกรรม ถ้ามีใครทำให้โกรธ อย่าไปโกรธตอบ เพราะผลกรรมจากการโกรธตอบนั้น จะตกเป็นของคุณอย่างไม่อาจปฏิเสธ
6.พิจารณาพระจริยวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า ว่า กว่าที่พระศาสดาจะสั่งสมบารมีจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงถูกเบียดเบียนทำร้ายกระทั่งถูกหมายเอาชีวิต แต่กระนั้นก็ไม่ทรงแค้นเคือง กลับอดทนระงับความโกรธและมีเมตตาตอบ พุทธวิถีของพระองค์นับเป็นแบบอย่างที่ทำให้มนุษย์คิดได้ว่า สิ่งกระทบกระทั่งที่คุณเผชิญอยู่นั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประสบมา
7.พิจารณาว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏทั้งสิ้น ฉะนั้นในยามโกรธแค้นหรืออยากทำร้ายใคร ให้คิดว่าคนที่คุณกำลังจะตะบันกำปั้นใส่หน้าเข้า อาจจะเคยเป็นพ่อเป็นแม่เป็นคน ที่เคยรับใคร่ผูกพันกันมาในชาติก่อน แล้วชาตินี้คุณจะทำร้ายเขาไปเพื่ออะไร
8.พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา ความเมตตาเป็นหลักธรรมที่ลบล้างความโกรธได้ อีกทั้งยังมีสรรพคุณเหมือนยาวิเศษ ทำให้คุณหลับฝันดี เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ตลอดจนอมนุษย์ทั้งหลาย ภัยและอาวุธไม่กล้ำกราย จิตเป็นสมาธิได้ง่าย
9.พิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ สลายตัวตน มองทุกอย่างตามสภาพความเป็นจริงขั้นปรมัตถ์ว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งสมมุติที่เกิดจากธาตุ(รูปธรรม) และขันธ์ (นามธรรม) มาประกอบกัน
10.ให้ทาน ก็คือ การเสียสละ ไม่ว่าจะเสียสละด้วยการให้สิ่งของ ให้มิตรไมตรี หรือให้อภัย

พุทธวจน - ลมหายใจไปวิมุตติ จิตรู้อยู่กับกายปัจจุบัน : แนวทางคิด และ ปฏิบัติ ที่ถูกต้อง

พุทธวจน - ลมหายใจไปวิมุตติ จิตรู้อยู่กับกายปัจจุบัน : แนวทางคิด และ ปฏิบัติ ที่ถูกต้อง 

กายคตาสติ (อ่านว่า กา-ยะ-คะ-ตา-สะ-ติ) แปลว่า สติที่เป็นไปในกาย เป็นวิธีทำกรรมฐานอย่างหนึ่งในอนุสสติ ๑๐

กายคตาสติ คือ การใช้สติไปรู้อวัยวะในร่างกายของตน เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นของไม่งาม ปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น พิจารณาไปจนเห็นความจริง จิตยอมรับความจริงได้ เกิดความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในกาย ไม่ยึดมั่นถือมั่นกายต่อไป

กายคตาสติ เมื่อระลึกถึงอยู่เนือง ๆ ย่อมส่งผลให้หมดความยินดียินร้าย หมดภัยและความขลาดลงได้ ใจวางอุเบกขาต่อทุกขเวทนาได้ ส่งผลให้จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน บรรเทาราคะและความยึดมั่นถือมั่นในกาย ถอนความเห็นผิดว่าสวยว่างามลงได้

วิมุตติ คือ ความหลุดพ้น เป็นวัตถุประสงค์มุ่งหมายของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ดังพุทธภาษิตว่า

"..พรหมจรรย์นี้มิได้มีลาภสักการะสรรเสริญเป็นอานิสงส์ มิได้มีกามสุขในสวรรค์เป็นอานิสงส์ มิได้มีการเข้าถึงความเป็นอันเดียวกับพรหมในพรหมโลกเป็นอานิสงส์ แต่ว่ามีวิมุตติเป็นอานิสงส์ ดังนี้.."

-ตทังควิมุตติ คือ การพ้นไปจากอำนาจของ"ตัวกู-ของกู"ด้วยอำนาจของสิ่งที่บังเอิญประจวบเหมาะ
-วิกขัมภนวิมุตติ คือความดับแห่ง"ตัวกู" ซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจของการประพฤติหรือการกระทำทางจิต หมายถึง ขณะนั้นมีการกระทำจิตให้ติดอยู่กับอารมณ์ของสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่งตามแบบของการทำสมาธิ
-สมุจเฉทวิมุตติ คือความดับ"ตัวกู" ด้วยการกระทำทางปัญญา คือการทำลายอวิชชาลงอย่างสิ้นเชิง

เปรียบเทียบได้ว่า อย่างแรกนั้นอาศัยอำนาจของการประจวบเหมาะ อย่างที่ 2 หรืออย่างกลางนั้นอาศัยอำนาจของจิตที่ปฏิบัติถูกวิธี ส่วนอย่างที่ 3 หรืออย่างสูงนั้นอาศัยอำนาจของปัญญา

วิมุตติ 2 คือ ความหลุดพ้นด้วยสมาธิและปัญญา ได้แก่
-เจโตวิมุตติ หมายถึง ความหลุดพ้นแห่งจิต ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิต ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ
-ปัญญาวิมุตติ หมายถึง ความหลุดพ้นด้วยปัญญา ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา ความหลุดพ้นแห่งจิตจากจากอวิชชา ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง

https://www.youtube.com/watch?v=wGeUr0YKtuc&list=PLre-8Hpeg_85Jhd2hmJLEydvzAdE5HeVf&index=27&t=25s

#แนวทางคิด #ปฏิบัติ #ลมหายใจเข้าออก #ธรรมปฏิบัติ #พระคึกฤทธิ์โสตฺถิผโล #วัดนาป่าพง #พุทธวจน 
#ธรรมะ #สมาธิ #สติปัฏฐาน #กายคตาสติ #เห็นจิตในจิต #การเกิด #การดับ #มหาสติปัฏฐาน๔ #หลักธรรม 
#เพื่อรู้แจ้ง #กิเลสครอบงำ #กายเวทนาจิตและธรรม #สติปัฏฐาน #สัมมาสติ #ความแน่วแน่ #ความมุ่งมั่น 
#กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน #ธาตุ4 #ดินน้ำลมไฟ #ไม่เที่ยง #เป็นทุกข์ #เป็นอนัตตา #กรรมฐาน #อนุสสติ๑๐ #ยึดมั่นถือมั่น #ความหลุดพ้น #พรหมจรรย์ #อานิสงส์ #ความดับ #ปัญญา #เจโตวิมุตติ #ปัญญาวิมุตติ

สวดมนต์ มหาเมตตาใหญ่ เมตตาพรหมวิหารภาวนา พร้อม บทสวดตาม 😊

สวดมนต์ มหาเมตตาใหญ่ เมตตาพรหมวิหารภาวนา
พร้อม บทสวดตาม 😊

**ต้นกำเนิดของคาถามหาเมตตาใหญ่
           คาถามหาเมตตาใหญ่นี้ เป็นบทบันทึกเรื่องราวและบทพระธรรมเทศนาที่สำคัญตอนหนึ่งของพระพุทธเจ้า ซึ่งถูกจารึกไว้ในพระ

ไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ หน้า ๓๔๑ ชื่อ "เมตตากถา" มีเนื้อความโดยย่อว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ ณ วัดพระเชตวันมหา

วิหาร ที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ครั้งนั้นได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายให้ประชุมกันแล้วตรัสพระธรรมเทศนาโปรด พระธรรมเทศนา

ที่ยกขึ้นแสดงในครั้งนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเจริญเมตตากรรมฐาน โดยในเบื้องต้นทรงแสดงอานิสงส์แห่งการแผ่เมตตาว่า ผู้เจริญเมตตา

จะได้รับอานิสงส์มากมายถึง ๑๑ ประการ จากนั้นจึงทรงจำแนกการแผ่เมตตาออกเป็น ๓ ประเภท คือ

 ๑) การแผ่ไปโดยไม่เจาะจงผู้รับ
 ๒) การแผ่ไปโดยเจาะจงผู้รับ และ
 ๓) การแผ่เมตตาไปในทิศทั้ง_๑๐
 จากนั้นจึงทรงแสดงคำแผ่เมตตาแต่ละประเภทโดยละเอียด และทรงเน้นย้ำให้ภิกษุจดจำนำไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

           ความพิเศษของคาถามหาเมตตาใหญ่นี้ก็คือ เป็นพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นแสดงเอง โดยไม่มีเหตุให้ต้องแสดง เช่น ไม่มีผู้คุยหรือสนทนาเกี่ยวกับการแผ่เมตตา ไม่มีผู้ทูลถาม เป็นต้น เพราะโดยส่วนมากแล้วการแสดงธรรมของพระพุทธองค์จะต้องมีเหตุการณ์ให้ต้องแสดง การที่ทรงยกขึ้นแสดงเองเช่นนี้ ย่อมเป็นพระธรรมเทศนาที่ทรงให้ความสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง อนึ่ง
บทแผ่เมตตานี้ เป็นบทแผ่เมตตาที่ยาวที่สุดในบรรดาบทแผ่เมตตาอื่น ๆ จึงได้ชื่อว่า มหาเมตตาใหญ่

**อานิสงส์ของการเจริญคาถามหาเมตตาใหญ่ #พระพุทธเจ้า แสดงไว้ ๑๑ ประการ คือ
๑. #หลับเป็นสุข : คือนอนหลับสบาย ไม่ฟุ้งซ่าน พลิกตัวไปมา
๒. #ตื่นเป็นสุข : คือตื่นมาจิตใจแจ่มใส่ ปลอดโปร่ง ไม่เซื่องซึม มึนหัว
๓. #ไม่ฝันร้าย : คือฝันดี ฝันเห็นแต่สิ่งที่เป็นมงคล สิ่งที่ดีงาม
๔. #เป็นที่รักของมนุษย์ : คือมีมนุษยสัมพันธ์ดี จิตใจเบิกบาน ไม่โกรธง่าย มีเสน่ห์น่าเข้าใกล้
๕. #เป็นที่รักของอมนุษย์ : เป็นที่รักของสัตว์เดรัจฉาน ภูตผีปีศาจ
๖. #เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา :
เทวดาช่วยเหลือบันดาลให้สมหวังในสิ่งที่ต้องการ และป้องกันอันตรายที่


https://youtu.be/ywE8oGsNI4I

"..ชีวิต ทุกข์ ท้อแท้ สิ้นหวัง.." หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน

"..ชีวิต ทุกข์ ท้อแท้ สิ้นหวัง.."
หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน

รู้จัก หยุด
รู้จัก พัก
รู้จัก เดิน
ใช้หลัก ศีล สมาธิ ปัญญา เข้าช่วยได้
อดีตอย่ารื้อฟื้น เรื่องของคนอื่นอย่าคิด :)
*******************

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (พระธรรมสิงหบุราจารย์) เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี พระนักเทศน์-วิปัสสนาจารย์ ท่านเคยเทศนาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาไว้หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องบาปบุญ การทำความดี รวมทั้งหลักธรรมต่างๆ ในการดำเนินชีวิต แม้ทุกวันนี้หลวงพ่อจรัญจะละสังขารไปแล้ว แต่ทุกคำสอนของท่านยังมีคุณค่าและเป็นจริงเสมอ

1. ความดีเป็นศัตรูของชีวิต สร้างความดีต้องมีอุปสรรค เขาร้ายมาอย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมา เราเอาความดีไปแก้ไข คนตระหนี่ก็ให้ของที่ต้องใจ คนพูดเหลวไหล เอาความจริงใจไปสนทนา

2. จงอย่าหวั่นไหว จงทำใจให้ได้เมื่อมีทุกข์ คนที่ทำใจได้เพราะมีสติควบคุมใจได้ ถ้าผู้ใดเจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน จิตมั่นคง ต้องช่วยตัวเองได้ ทำใจได้ จะไม่เสียใจ ไม่น้อยใจต่อบุคคลใด คนทำใจได้นั่นแหละ จะได้รับผลดี มีสติเป็นอาวุธของตนตลอดไป

3. ใครตั้งใจ “ทำดี” อย่าไปกังวลเรื่อง “ปากคน” เพราะต่อให้เรา “ดี” ขนาดไหน หากไม่ถูก “กิเลส” เขา เขาก็ไม่ชอบ ไม่เข้าใจ เขาก็ตำหนิ ดังนั้น ดี-ชั่ว ไม่ได้อยู่ที่เขาว่าเรา แต่อยู่ที่เราเองทั้งหมด เรารู้เราเองก็เพียงพอแล้ว

4. คนเราเดี๋ยวนี้มักง่าย มักได้เกินไป ของดีต้องทำยาก ของชั่วทำง่ายนิดเดียว กว่าจะสร้างความดีมาจนป่านนี้ ใช้เวลานานมากนะ ไม่ใช่สร้างกันวันเดียวแล้วเสร็จ

5. ชาวพุทธแท้ๆ ควรจะได้ดีมีสุขจากการนับถือศาสนาพุทธ โดยแก้ปัญหาที่เกิดด้วยอริยสัจ 4 ทุกข์เกิดแล้วหาสาเหตุของทุกข์ด้วยการกำหนดทุกข์หนอ มันทุกข์ตรงไหนหนอ บำเพ็ญจิตภาวนา สมาธิ ปัญญาจะบอกทุกข์เกิดขึ้นตรงนั้น ต้องแก้ตรงนั้น อย่าไปแก้ผิดจุด อย่าไปให้ผีให้เจ้ามาแก้ หรือเอาหมอดูมาแก้ มันไม่ถูกเรื่อง

6. เหนือฟ้ายังมีฟ้าแต่ไม่มีอะไรเหนือกฎแห่งกรรม

7. จงคิดอยู่เสมอว่าเรามีเวลาเหลืออยู่แค่วันนี้หรือชั่วโมงนี้ จะได้รีบกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ มิใช่มานั่งโกรธ นั่งเกลียดนั่งคิดริษยากัน เสียเวลาโดยเปล่าประโยขน์

8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี

9. เกิดเป็นคนต้องช่วยตนเสียก่อน แล้วกลับย้อนช่วยคนอื่นจึงจะได้ ต้องรู้จักฝึกหัดทั้งกายใจ จึงค่อยไปแนะคนอื่นให้ทำตาม คนเราเลือกเกิดเลือกตายไม่ได้ แต่เลือกสร้างความดีได้

10. จงพอใจในชีวิตของตัวเอง โดยมิต้องไปเปรียบเทียบชีวิตของผู้อื่น (ข้อความสุดท้ายใน ส.ค.ส. 2559 ที่หลวงพ่อจรัญ เขียนไว้ก่อนละสังขาร)

*******************

ข้อคิดในการดำเนินชีวิต
๑. ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
๒. อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก "ปัญญา" และ "ความกล้าหาญ"
๓. "เพื่อนใหม่" คือ ของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน "เพื่อนเก่า หรือ มิตร" คือ อัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
๔. อ่านหนังสือธรรมปีละเล่ม
๕. ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
๖. พูดคำว่า "ขอบคุณ" ให้มาก ๆ
๗. รักษา "ความลับ" ให้เป็น
๘. ประเมินคุณค่าของการให้ "อภัย" ให้สูง
๙.  ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
๑๐. ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิและรู้แก่ใจว่าเป็นจริง
๑๑. หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
๑๒. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก คิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
๑๓. อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์
๑๔. ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อการก่อหนี้สิน
๑๕. อย่าหยิ่ง หากจะกล่าวคำว่า "ขอโทษ"
๑๖. อย่าอาย หากจะบอกใครว่า "ไม่รู้"
๑๗. ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง
๑๘. เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่าง ๆ อย่างค่อยเป็นอย่างไป
๑๙. การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
๒๐. คนไม่รักเงิน คือ คนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
๒๑. ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อน คือ ผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
๒๒. ชีวิตนี้ฉันไม่เคยได้ทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด
๒๓. จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน
๒๔. เป็นหน้าที่ของเราจะที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด
๒๕. เหรียญเดียวมี ๒ หน้า คือ ความสำเร็จ กับ ความล้มเหลว
๒๖. อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่ง ๆ เกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น
๒๗. ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
๒๘. อย่าดึงต้นกล้าให้โตไว ๆ (อย่าใจร้อน)
๒๙. ระลึกถึงความตายวันละ ๓ ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้
๓๐. ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อ ๆ ไป ก็ผิดหมด
๓๑. ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันแล้วเสร็จ
๓๒. จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้ เพิ่มเติมได้ตลอด
๓๓. ดาวและเดือนที่อยู่สูง อยากได้ต้องปีน "บันไดสูง"
๓๔. มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
๓๕. หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
๓๖. ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต


https://www.youtube.com/watch?v=DO-1eyHTB7M&index=12&list=PLre-8Hpeg_84yjb2FOY2-Had6vVo3rOFR&t=25s

#ชีวิต #ทุกข์ #ท้อแท้ #สิ้นหวัง #หลวงพ่อจรัญ_พระธรรมสิงหบุราจารย์_วัดอัมพวัน #ศีล_สมาธิ_ปัญญา #เทศนาสั่งสอน #บาปบุญ #การทำความดี #หลักธรรม #การดำเนินชีวิต #อย่าหวั่นไหว #เจริญสติ #วิปัสสนากรรมฐาน #กิเลส #อริยสัจ_4 #เหนือฟ้ายังมีฟ้า #กฎแห่งกรรม #พอใจในชีวิต_ไม่คิดริษยา #ข้อคิด #ประเมินคุณค่า #ความผิดพลาด #การลุกขึ้นใหม่ #ความไม่ประมาท #ความสำเร็จ #ความล้มเหลว #ความตาย #มีสุข_มีอภัย_มีให้ #เรียนรู้ตลอดชีวิต #มนุษย์

สวดมนต์ มหาสมัยสูตร ชุมนุมเทพยดา เพื่อความร่มเย็นแห่งแผ่นดิน - มหาสมยสุตฺตํ (ปาฬี) 😊

สวดมนต์ มหาสมัยสูตร
ชุมนุมเทพยดา เพื่อความร่มเย็นแห่งแผ่นดิน - มหาสมยสุตฺตํ (ปาฬี) 😊


มหาสมัยสูตร,มหาสมยสุตฺตํ (ปาฬี) เป็นพระสูตรขนาดยาวจัดอยู่ในมหาวรรค หมวดมีฆนิกาย ในพระสุตันตปิฎก เนื้อหาว่าด้วยการชุมนุมใหญ่ของเทพยดาทั้งปวง โดยครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่ามหาวัน ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ 500 รูป ครั้งนั้น เทพชั้นสุทธาวาส 4 ตน คิดว่า เทวดาจาก 10 โลกธาตุประชุมกันเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ น่าที่พวกตนจะไปเฝ้า และกล่าวคาถากันคนละบท โดยใจความพรรณนาความประสงค์ที่มา ความประพฤติชอบของพระสงฆ์ และพรรณนาว่า ผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะย่อมไม่ไปสู่อบาย ต่อจากนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ตรัสเล่าว่า เทวดามาประชุมครั้งใหญ่ แล้วตรัสประกาศชื่อของเทวดาเหล่านั้นโดยละเอียด

มหาสมัยสูตร นี้นิยมนำมาสวดในงานมงคลสำคัญ โดยจัดอยู่ในภาณวาร หรือบทสวดมนต์หลวง นอกจากนี้ ยังสวดกันเป็นประจำที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร โดยเริ่มสวดกันมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ระหว่างการสวดจะมีการทำพิธีปลุกเสกน้ำมนต์มหาสมัยสูตร คาดว่าการปลุกเสกน้ำมนต์มหาสมัยสูตรนี้เริ่มมาแต่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

เนื้อหาของมหาสมัยสูตรอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนแรกกล่าวถึงการปรากฎของเทวดาที่มาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ ป่ามหาวัน จนกลายเป็นการชุมนุมใหญ่ของเทพทั้งหลาย
ส่วนที่ 2 พระผู้มีพระภาคทรงบอกนามของพวกเทวดาให้ภิกษุทั้งหลายได้ทราบ ซึ่งส่วนนี้ทรงแสดงเป็นร้อยกรอง คือ คาถา มีความยาวพอสมควร โดยทรงไล่นามของเทวาดชั้นต่างๆ ลำดับต่างๆ ลักษณะรูปร่างต่างๆ ต่อมาคัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถา ทีฆนิกาย ได้อธิบายลักษณะ และรายละเอียดของเทวดาเหล่านี้เพิ่มเติม โดยในส่วนของคาถา ซึ่งพรรณนานามของเทวดาและอมนุษย์ทั้งหลายที่มาเข้าเฝ้า

บทสวด พร้อม คำแปล : https://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

#บทสวดมนต์, #สิบสองตำนาน, #ชุมนุมเทวดา, #มหาสมัยสูตร, #มหาสมยสุตฺตํ, #ปาฬี, #พระสูตร, #การชุมนุม, #เทพยดา, #เทพ, #เทวดา, #งานมงคล, #ภาณวาร, #บทสวดมนต์หลวง, #พระผู้มีพระภาค, #คาถา, #บทสวด, #คำแปล

https://youtu.be/KKmY8Rw2Xis

ทุกข์มาก เครียดมาก เชิญฟัง : หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน สิงห์บุรี

ทุกข์เพราะยึด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง
เมื่อพูดถึง ความทุกข์กาย แล้ว สาเหตุ มีเยอะแยะไปหมด ความหิวความเจ็บป่วย แผ่นดินไหว อุบัติเหตุ อุทกภัย การปล้นจี้ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของความทุกข์ทางกาย แต่ถ้าพูดถึง ความทุกข์ใจแล้ว ก็มีอยู่สาเหตุเดียว นั่นคือ ทุกข์เพราะยึด



ความยึดติด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง คือ สาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ใจ ยึดติดเรื่องอะไรบ้าง ก็ ยึดติดเรื่องราวในอดีต เช่น ความสูญเสียในอดีต โดยเฉพาะสูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกกระทำโดยใครบางคน ที่จริงมันผ่านไปนานแล้ว แต่พอยึดเอาไว้ที่ใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ก็เลยทุกข์ เจ็บปวดโกรธแค้น เสียดาย อาลัย ถ้าไม่ทุกข์เพราะยึดในอดีต ก็กังวลกับอนาคต เหตุร้ายยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็กังวลหรือตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว บางทีก็นึกถึงอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า บางคน เจ็บป่วย เพียงเล็กน้อย แต่ก็นึกปรุงแต่งไปไกลว่าฉันจะตายแล้วหรือนี่ ความกังวลกับอนาคตก็เป็นความยึดติดอีกแบบที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่นึกถึงอนาคต ความกังวลก็ไม่เกิด ความกลัว ก็เช่นกัน ส่วนใหญ่เรากลัวสิ่งที่ยังไม่เกิด ตอนนี้ยังสบายดีอยู่ แต่นึกถึงเหตุร้ายล่วงหน้า อันนี้เรียกว่า คิดข้ามช็อต ก็เลย ทำให้เป็นทุกข์ :)

พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) หลวงพ่อจรัญ อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 3
ทุกข์มาก เครียดมาก เชิญฟัง
ความทุกข์ มีทุกที่ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง

ทุกข์ หรือ ทุกขัง (บาลี: ทุกฺข) เป็นหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา แปลว่าทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก โดยทั่วไปหมายถึง สังขารทั้งปวง อันได้แก่ ขันธ์ 5 ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทุกข์

ในทางพระพุทธศาสนา การกำหนดทุกข์ถือเป็นกิจในอริยสัจ 4 ที่ชาวพุทธต้องทำเพื่อละและปล่อยวางในลำดับต่อไปในกิจทั้งสี่ในอริยสัจ อันได้แก่ รู้ทุกข์ เพื่อค้นหาสาเหตุในการดับทุกข์ (สมุทัย) แล้วจึงตั้งจุดมุ่งหมายในการดับทุกข์ (นิโรธ) และดำเนินตามเส้นทางสู่ความดับทุกข์ (มรรค) คือสละ ละ ปล่อยวาง ไม่ยึดติดในใจด้วยอำนาจกิเลส

**ทุกข์ในอริยสัจ : 
ทุกข์ถือเป็นความจริงอันประเสริฐข้อที่ 1 ในอริยสัจ 4 จึงเรียกว่าทุกขสัจ มี 11 อย่าง ได้แก่ :-
1. ชาติ หมายถึง ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลงเกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
2. ชรา หมายถึง ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังย่นเป็นเกลียว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
3. มรณะ หมายถึง ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความแตกทำลาย ความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความทำลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพไว้ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
4. โสกะ หมายถึง ความสใจ กิริยาที่แห้งใจ ภาวะแห่งบุคคลผู้แห้งใจ ความผาก ณ ภายใน ความแห้งผาก ณ ภายใน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว
5. ปริเทวะ หมายถึง ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ กิริยาที่ร่ำไรรำพัน ภาวะของบุคคลผู้คร่ำครวญ ภาวะของบุคคลผู้ร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว
6. ทุกข์ (กาย) หมายถึง ความลำบากทางกาย ความไม่สำราญทางกาย ความเสวยอารมณ์ อันไม่ดีที่เป็นทุกข์เกิดแต่ กายสัมผัส
7. โทมนัส หมายถึง ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต ความเสวยอารมณ์อันไม่ด ีที่เป็นทุกข์เกิดแต่ มโนสัมผัส (สัมผัสทางใจ นึกคิดขึ้นมา)
8. อุปายาส หมายถึง ความแค้น ความคับแค้น ภาวะของบุคคลผู้แค้น ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น ของบุคคล ผู้ประกอบด้วยความพิบัติ อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว
9. ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก หมายถึง ความประสบ ความพรั่งพร้อม ความร่วม ความระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ความรู้สึกทางกาย) อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ หรือด้วย บุคคลผู้ปรารถนาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาความไม่ผาสุก ปรารถนาความไม่เกษมจากโยคะ (กิเลส) ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
10. ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หมายถึง ความไม่ประสบ ความไม่พรั่งพร้อม ความไม่ร่วม ความไม่ระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือด้วยบุคคลผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่เกื้อกูล ปรารถนาความผาสุก ปรารถนาความเกษม จากโยคะ คือ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง มิตร อมาตย์ หรือ ญาติสาโลหิต ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
11. ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น หมายถึง ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่ สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา สัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา สัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา สัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา สัตว์ผู้มี โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา ขอความเกิดอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความแก่เป็นธรรมดา ขอความแก่อย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา ขอความเจ็บอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความตายเป็นธรรมดา ขอความตายอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมี โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส เป็นธรรมดา ขอโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส อย่ามีมาถึงเราเลย สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
..สรุปว่าอุปาทานขันธ์ 5 ทั้งหมดนั่นเองที่เป็นทุกขสัจ เป็นโทษ เป็นภัยที่สุด.

************
กิเลส (บาลี: กิเลส; สันสกฤต: क्लेश เกฺลศ) หมายถึง สภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมอง

คำว่า กิเลส แปลว่า สิ่งที่เศร้าหมอง หรือ เครื่องทำให้เกิดความเศร้าหมอง 
มีความหมาย ๓ อย่าง คือ
- ให้เกิดความสกปรก หรือ เศร้าหมองอย่างหนึ่ง
- ให้เกิดความมืดมิดไม่สว่างไสวอย่างหนึ่ง
- ให้เกิดความกระวนกระวายไม่มีความสงบอีกอย่างหนึ่ง

กิเลสวัตถุ :
ในวิภังคปกรณ์ระบุว่า กิเลสวัตถุ 10 ได้แก่..
1. โลภะ ความอยากได้
2. โทสะ ความคิดประทุษร้าย
3. โมหะ ความหลง
4. มานะ ความถือตัว
5. ทิฏฐิ ความเห็นผิด
6. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
7. ถีนะ ความหดหู่
8. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
9. อหิริกะ ความไม่ละอายบาป
10. อโนตตัปปะ ความไม่เกรงกลัวบาป

ทุกข์มาก เครียดมาก เชิญฟัง : หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน สิงห์บุรี 

จิตวุ่นวาย คลายด้วยธรรม - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ทุกข์เพราะยึด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง
เมื่อพูดถึง ความทุกข์กาย แล้ว สาเหตุ มีเยอะแยะไปหมด ความหิวความเจ็บป่วย แผ่นดินไหว อุบัติเหตุ อุทกภัย การปล้นจี้ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของความทุกข์ทางกาย แต่ถ้าพูดถึง ความทุกข์ใจแล้ว ก็มีอยู่สาเหตุเดียว นั่นคือ ทุกข์เพราะยึด



ความยึดติด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง คือ สาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ใจ ยึดติดเรื่องอะไรบ้าง ก็ ยึดติดเรื่องราวในอดีต เช่น ความสูญเสียในอดีต โดยเฉพาะสูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกกระทำโดยใครบางคน ที่จริงมันผ่านไปนานแล้ว แต่พอยึดเอาไว้ที่ใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ก็เลยทุกข์ เจ็บปวดโกรธแค้น เสียดาย อาลัย ถ้าไม่ทุกข์เพราะยึดในอดีต ก็กังวลกับอนาคต เหตุร้ายยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็กังวลหรือตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว บางทีก็นึกถึงอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า บางคน เจ็บป่วย เพียงเล็กน้อย แต่ก็นึกปรุงแต่งไปไกลว่าฉันจะตายแล้วหรือนี่ ความกังวลกับอนาคตก็เป็นความยึดติดอีกแบบที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่นึกถึงอนาคต ความกังวลก็ไม่เกิด ความกลัว ก็เช่นกัน ส่วนใหญ่เรากลัวสิ่งที่ยังไม่เกิด ตอนนี้ยังสบายดีอยู่ แต่นึกถึงเหตุร้ายล่วงหน้า อันนี้เรียกว่า คิดข้ามช็อต ก็เลย ทำให้เป็นทุกข์ :)

นอกจาก ความยึดติดในอดีต ในอนาคต แล้ว สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ถ้ายึดติดก็ทุกข์เหมือนกัน อย่างเช่น เสียงที่มารบกวนขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิ เสียงโทรศัพท์ก็ดี เสียงรถยนต์ก็ดี อาจจะไม่ดังเท่าไหร่ แต่พอใจเราไปยึดติดเข้า ก็เป็นทุกข์ทันที เกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจ ยิ่งปรุงแต่งต่อไปว่ามันไม่น่า มันไม่ควร เราก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เกิดโทสะ เกิดความโกรธ นี่ก็เรียกว่าเป็นเพราะยึดติดกับอารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวทนา เรานั่งนานๆ หรือว่าอยู่กลางแดด ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้น ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเป็นของจริง ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต มันเป็นปัจจุบัน แต่พอใจเราปักตรึงลงไปตรงนั้น ทีนี้ไม่ใช่แค่ทุกข์กายแล้ว แต่ยังมีทุกข์ใจด้วย ถ้าเราไม่ปล่อย ไม่วาง ความทุกข์ก็ตามมา รบกวนจิตใจ ของเรา :)

พระธรรมเทศนา จิตวุ่นวาย คลายด้วยธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
สถานที่ : ศาลาโรงครัว วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ 

ให้เป็นธรรมทานแก่ทุกท่าน.. 
ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง 
รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง 
ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง 
ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง.

ความจริงธรรมมีมากเพียงไร อำนาจใจก็มีมาก กิเลสก็มีอำนาจน้อยลง ถ้าธรรมไม่มีเลย กิเลสก็มีอำนาจเต็มที่ อยากแสดงอำนาจอย่างไรก็แสดงออกมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ความเดือดร้อนจึงมีมาก เพราะกิเลสมีมากและมีอำนาจมาก ก่อความเดือดร้อนให้แก่โลกได้มาก เมื่อธรรมแทรกซึมเข้าถึงใจมากน้อย กิเลสก็ค่อยอ่อนกำลังลงไป ธรรมก็มีอำนาจมากขึ้นไปโดยลำดับๆ
            ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะพยายามให้ธรรมเข้าสู่ใจอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดๆ ควรมีธรรมเป็นสรณะ เป็นที่ยึดเหนี่ยวใจอยู่เสมอ เพราะกิเลสไม่ได้มีกาล ไม่มีสถานที่ เวล่ำเวลา อดีต อนาคต ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ขึ้นอยู่กับการผลิตการกระทำของมันเท่านั้น อยู่ไหนกิเลสก็สร้างตัวให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงบนหัวใจของสัตว์โลกไม่เว้นวันเวลาเลย กิเลสจึงไม่มีขาดแคลนบนหัวใจสัตว์แต่ไหนแต่ไรมา
            ถ้าเราไม่ระมัดระวังตัว มันต้องผลิตผลออกมาเรื่อยๆ ให้ได้รับความทุกข์ความลำบากไม่มีสิ้นสุดจุดหมายปลายทางเลย ความหวังในสิ่งที่พึงใจของสัตว์โลก ก็มีแต่นับวันเลือนรางหายไป เพราะกิเลสที่ตนผลิตขึ้นลบล้างไปเสียหมด
เราจะทำลายกิเลสซึ่งฝังรากฐานลงอย่างลึกทะลุขั้วหัวใจ จะทำลายเอาอย่างใจคิดใจหวัง ให้ง่ายอย่างปอกกล้วยมันเป็นไปไม่ได้ เพราะกิเลสไม่ใช่กล้วยพอที่จะปอกแล้วเอามารับประทานเลยอย่างนั้นได้ ผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องเป็นผู้มีหลักใจแน่นหนามั่นคง มีความมุ่งมั่นเป็นต้น นี่คือคนมีหลักใจหรือใจมีหลัก ใจหนักแน่น พูดง่ายๆ มีเหตุมีผลประจำใจเสมอ เป็นเครื่องบังคับให้ใจดำเนินตาม หรือเดินตามเหตุผลที่พิจารณาเห็นว่าถูกต้องแล้วนั้นๆ เมื่อใจดำเนินตามหลักของเหตุผลอยู่โดยสม่ำเสมอ ความเคยชินของใจก็มีด้วย สิ่งที่จะมาก่อกวนจิตใจให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก ก็จะมีน้อยลงเป็นลำดับด้วย ไม่กำเริบเสิบสานดังที่มันมีอำนาจสังหารโลกให้ย่อยยับทางจิตใจ และศีลธรรมอยู่ในท่ามกลางที่ใครๆ ก็ว่า “โลกเจริญๆ” อยู่เวลานี้แบบไม่ลืมหูลืมตา ดังผู้เทศน์อยู่เวลานี้เองซึ่งกำลังมืดบอดเต็มที่

ฉะนั้นจึงมีใจดวงเดียวเป็นตัวก่อเหตุให้เกิดความวุ่นวาย แต่ใจนั้นมีสิ่งที่พาให้ก่อเหตุ ไม่ใช่เฉพาะใจเฉยๆ จะก่อเหตุขึ้นมาอย่างดื้อๆ สิ่งที่แทรกสิงอยู่นั้นคือสิ่งวุ่นวายหรือตัววุ่นวาย เมื่อเข้าไปสิงในจิตใจของผู้ใด ผู้นั้นก็ต้องวุ่นวายไปด้วยมัน การแก้กิเลสคือธรรมชาติที่ทำให้วุ่นวายนี้ จึงแก้ลงที่ใจด้วยข้อปฏิบัติ เช่น ท่านสอนให้กำหนด “พุทโธ,ธัมโม,สังโฆ” เป็นเครื่องบริกรรม หรือกำหนด “อานาปานสติ” เป็นอารมณ์ เพื่อใจได้รับความสงบระงับในขั้นเริ่มแรก ซึ่งเป็นธรรมเครื่องระงับความวุ่นวาย ต่อไปก็ตามดูใจว่ามันวุ่นวายกับเรื่องอะไร? นี่คือขั้นเริ่มแรกที่ปัญญาจะเริ่มออกก้าวเดินเพื่อค้นหาสาเหตุ คือตัวกิเลสที่ทำให้ใจวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนกว่าจะรู้เรื่องของมันไปโดยลำดับ ไม่ยอมถอยทัพกลับแพ้ข้าศึก ตัวแทรกซึมก่อกวนที่แอบซ่อนอยู่ภายในจิต
            เช่นใจวุ่นวายกับเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง เครื่องสัมผัส ซึ่งเข้าใจว่าอันนั้นดี อันนี้ชั่ว อันนั้นเป็นอย่างนั้น อันนี้เป็นอย่างนี้ ด้วยความสำคัญต่างๆ ปัญญา พิจารณาคลี่คลายดูให้เห็นตามความเป็นจริงในสิ่งนั้นๆ แล้วย้อนเข้ามาดูจิตใจผู้มีความสำคัญมั่นหมายในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ จนเกิดความวุ่นวายขึ้นภายในตัว ให้เห็นชัดเจนทั้งภายในภายนอก ใจก็สงบระงับลงไปได้ เป็นอรรถเป็นธรรม พอมีที่ผ่อนคลายหายทุกข์ไปได้ไม่รุนแรง

            การแก้ความวุ่นวายแก้ตรงที่ความวุ่นวายมีอยู่ คือใจนี่เอง แก้ไม่หยุดไม่ถอย ใจจะฝืนเราไปที่ไหน จะต้องสงบระงับความกำเริบลงจนได้ไม่เหนือธรรมเครื่องฝึกทรมานไปได้ ปราชญ์ท่านเคยฝึกทรมานจนเห็นผลมาแล้ว จึงได้นำอุบายวิธีนั้นๆ มาสอนสัตว์โลกเช่นพวกเรา ชาวปฏิบัติธรรมทางใจ

จิตวุ่นวาย คลายด้วยธรรม - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน 

การปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องแท้จริง ท่านปัญญานันทภิกขุ เทศนาธรรมวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 เดือน

ทุกข์เพราะยึด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง
เมื่อพูดถึง ความทุกข์กาย แล้ว สาเหตุ มีเยอะแยะไปหมด ความหิวความเจ็บป่วย แผ่นดินไหว อุบัติเหตุ อุทกภัย การปล้นจี้ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของความทุกข์ทางกาย แต่ถ้าพูดถึง ความทุกข์ใจแล้ว ก็มีอยู่สาเหตุเดียว นั่นคือ ทุกข์เพราะยึด



ความยึดติด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง คือ สาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ใจ ยึดติดเรื่องอะไรบ้าง ก็ ยึดติดเรื่องราวในอดีต เช่น ความสูญเสียในอดีต โดยเฉพาะสูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกกระทำโดยใครบางคน ที่จริงมันผ่านไปนานแล้ว แต่พอยึดเอาไว้ที่ใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ก็เลยทุกข์ เจ็บปวดโกรธแค้น เสียดาย อาลัย ถ้าไม่ทุกข์เพราะยึดในอดีต ก็กังวลกับอนาคต เหตุร้ายยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็กังวลหรือตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว บางทีก็นึกถึงอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า บางคน เจ็บป่วย เพียงเล็กน้อย แต่ก็นึกปรุงแต่งไปไกลว่าฉันจะตายแล้วหรือนี่ ความกังวลกับอนาคตก็เป็นความยึดติดอีกแบบที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่นึกถึงอนาคต ความกังวลก็ไม่เกิด ความกลัว ก็เช่นกัน ส่วนใหญ่เรากลัวสิ่งที่ยังไม่เกิด ตอนนี้ยังสบายดีอยู่ แต่นึกถึงเหตุร้ายล่วงหน้า อันนี้เรียกว่า คิดข้ามช็อต ก็เลย ทำให้เป็นทุกข์ :)

นอกจาก ความยึดติดในอดีต ในอนาคต แล้ว สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ถ้ายึดติดก็ทุกข์เหมือนกัน อย่างเช่น เสียงที่มารบกวนขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิ เสียงโทรศัพท์ก็ดี เสียงรถยนต์ก็ดี อาจจะไม่ดังเท่าไหร่ แต่พอใจเราไปยึดติดเข้า ก็เป็นทุกข์ทันที เกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจ ยิ่งปรุงแต่งต่อไปว่ามันไม่น่า มันไม่ควร เราก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เกิดโทสะ เกิดความโกรธ นี่ก็เรียกว่าเป็นเพราะยึดติดกับอารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวทนา เรานั่งนานๆ หรือว่าอยู่กลางแดด ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้น ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเป็นของจริง ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต มันเป็นปัจจุบัน แต่พอใจเราปักตรึงลงไปตรงนั้น ทีนี้ไม่ใช่แค่ทุกข์กายแล้ว แต่ยังมีทุกข์ใจด้วย ถ้าเราไม่ปล่อย ไม่วาง ความทุกข์ก็ตามมา รบกวนจิตใจ ของเรา :)

พระพรหมมังคลาจารย์ (ปั่น ปทุมุตฺตโร) - หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
การปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องแท้จริง - ท่านปัญญานันทภิกขุ เทศนาธรรมวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 เดือน 6 29 เมษายน 2533

หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว
วะยะธัมมา สังขารา
อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ
อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา

- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! , บัดนี้, เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า 
- สังขารทั้งหลาย, มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา 
- เธอทั้งหลาย, จงยังกิจทั้งปวงให้ถึงพร้อม

- นี้เป็นวาจาครั้งสุดท้ายของตถาคต ฯ

การปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องแท้จริง ท่านปัญญานันทภิกขุ เทศนาธรรมวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 เดือน 

ทุกข์เพราะยึด : เข้าใจ เหตุยึดติด จิตก็ปล่อยวาง หลุดพ้น - พุทธวจน พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล

ทุกข์เพราะยึด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง
เมื่อพูดถึง ความทุกข์กาย แล้ว สาเหตุ มีเยอะแยะไปหมด ความหิวความเจ็บป่วย แผ่นดินไหว อุบัติเหตุ อุทกภัย การปล้นจี้ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของความทุกข์ทางกาย แต่ถ้าพูดถึง ความทุกข์ใจแล้ว ก็มีอยู่สาเหตุเดียว นั่นคือ ทุกข์เพราะยึด
ทุกข์เพราะยึด : เข้าใจ เหตุยึดติด จิตก็ปล่อยวาง หลุดพ้น - พุทธวจน พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล 


ความยึดติด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง คือ สาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ใจ ยึดติดเรื่องอะไรบ้าง ก็ ยึดติดเรื่องราวในอดีต เช่น ความสูญเสียในอดีต โดยเฉพาะสูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกกระทำโดยใครบางคน ที่จริงมันผ่านไปนานแล้ว แต่พอยึดเอาไว้ที่ใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ก็เลยทุกข์ เจ็บปวดโกรธแค้น เสียดาย อาลัย ถ้าไม่ทุกข์เพราะยึดในอดีต ก็กังวลกับอนาคต เหตุร้ายยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็กังวลหรือตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว บางทีก็นึกถึงอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า บางคน เจ็บป่วย เพียงเล็กน้อย แต่ก็นึกปรุงแต่งไปไกลว่าฉันจะตายแล้วหรือนี่ ความกังวลกับอนาคตก็เป็นความยึดติดอีกแบบที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่นึกถึงอนาคต ความกังวลก็ไม่เกิด ความกลัว ก็เช่นกัน ส่วนใหญ่เรากลัวสิ่งที่ยังไม่เกิด ตอนนี้ยังสบายดีอยู่ แต่นึกถึงเหตุร้ายล่วงหน้า อันนี้เรียกว่า คิดข้ามช็อต ก็เลย ทำให้เป็นทุกข์ :)

นอกจาก ความยึดติดในอดีต ในอนาคต แล้ว สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ถ้ายึดติดก็ทุกข์เหมือนกัน อย่างเช่น เสียงที่มารบกวนขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิ เสียงโทรศัพท์ก็ดี เสียงรถยนต์ก็ดี อาจจะไม่ดังเท่าไหร่ แต่พอใจเราไปยึดติดเข้า ก็เป็นทุกข์ทันที เกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจ ยิ่งปรุงแต่งต่อไปว่ามันไม่น่า มันไม่ควร เราก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เกิดโทสะ เกิดความโกรธ นี่ก็เรียกว่าเป็นเพราะยึดติดกับอารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวทนา เรานั่งนานๆ หรือว่าอยู่กลางแดด ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้น ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเป็นของจริง ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต มันเป็นปัจจุบัน แต่พอใจเราปักตรึงลงไปตรงนั้น ทีนี้ไม่ใช่แค่ทุกข์กายแล้ว แต่ยังมีทุกข์ใจด้วย ถ้าเราไม่ปล่อย ไม่วาง ความทุกข์ก็ตามมา รบกวนจิตใจ ของเรา :)

อริยสัจ หรือ จตุราริยสัจ หรือ อริยสัจ ๔ เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกข์ ในทางศาสนาพุทธ คือ ไตรลักษณ์(หลักสัจจธรรมของพุทธศาสนา) เป็นลักษณะสภาพพื้นฐานธรรมชาติอย่างหนึ่ง จากทั้งหมด 3 ลักษณะ ที่พุทธศาสนาได้สอนให้เข้าใจถึงเหตุลักษณะแห่งสรรพสิ่งที่เป็นไปภายใต้กฎไตรลักษณ์ อันได้แก่

1. อนิจจัง (ความไม่เที่ยงแท้)
2. ทุกขัง (ความทนอยู่อย่างเดิมได้ยาก)
3. อนัตตา (ความไม่มีแก่นสาระ)

เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ได้แก่ ปฏิจจสมุปบาท (หลักศรัทธาของพุทธศาสนา) พุทธศาสนา สอนว่า ความทุกข์ ไม่ได้เกิดจากสิ่งใดดลบันดาล หากเกิดแต่เหตุและปัจจัยต่างๆ มาประชุมพร้อมกัน โดยมีรากเหง้ามาจากความไม่รู้หรือ อวิชชา ทำให้กระบวนการต่างๆ ไม่ขาดตอน เพราะนามธาตุที่เป็นไปตามกฎนิยาม ตามกระบวนการที่เรียกว่ามหาปัฏฐาน ทำให้เกิดสังขารเจตสิกกฎเกณฑ์การปรุงแต่งซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นดุจพันธุกรรมของจิต วิวัฒนาการเป็นธรรมธาตุอันเป็นระบบการทำงานของนามขันธ์ที่ประกอบกันเป็นจิต ( อันเป็นสภาวะที่รับรู้และเป็นไปตามเจตสิกของนามธาตุ) และเป็นวิญญาณขันธ์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นธาตุแสง (รังสิโยธาตุ) อันเกิดจากการทำงานของนามธาตุอย่างเป็นระบบ จนสามารถประสานหรือกำหนดกฎเกณฑ์รูปขันธ์ ของชีวิตินทรีย์ (เช่นไวรัส แบคทีเรีย ต้นไม้ เซลล์ ที่มีชีวิตขึ้นมาเพราะกฎพีชนิยาม) ทำให้เหตุผลของรูปขันธ์เป็นไปตามเหตุผลของนามขันธ์ด้วย (จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว) ทำให้รูปขันธ์ที่เป็นชีวิตินทรีย์พัฒนามีร่างกายที่สลับซับซ้อนมีระบบการทำงานจนเกิดมีปสาทรูป 5 รวมการรับรู้ทางมโนทวารอีก 1 เป็นอายตนะทั้ง 6 เมื่ออายตนะกระทบกับสรรพสิ่งที่มากระทบจนเกิดผัสสะ จนเกิดเวทนา คือ ความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง(อุเบกขา)

ความดับทุกข์ (นิโรธ) คือ นิพพาน ( เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ) อันเป็น แก่นของศาสนาพุทธ เป็นความสุขสูงสุด หรือเรียกอีกอย่างว่า

- วิราคะ ปราศจากกิเลส
- วิโมกข์ พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
- อนาลโย ไม่มีความอาลัย
- ปฏินิสสัคคายะ การปล่อยวาง
- วิมุตติ การไม่ปรุงแต่ง
- อตัมมยตา ไม่หวั่นไหว
และ - สุญญตา ความว่าง

เนื่องจากธรรมดาของสัตว์โลกมีปกติทำความชั่วมากโดยบริสุทธิ์ใจในความเห็นแก่ตัว ทำดีน้อยซึ่งไม่บริสุทธิ์ใจ ซ้ำหวังผลตอบแทน จึงมีปกติรับทุกข์มากกว่าสุข ดังนั้น ถ้าเป็นผู้มีปัญญาหรือเป็นพ่อค้าที่ฉลาดยอมรู้ว่าขาดทุนมากกว่าได้กำไร และ สุขที่ได้เป็นเพียงมายา ย่อมปรารถนาในพระนิพพาน เมื่อ ขันธ์5 แตกสลาย เจตสิกที่ประกอบกันให้เกิดเป็นจิตนั้นก็แตกสลายตามเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีเหตุปัจจัยจะประกอบกันให้เกิดเป็นจิตนั้น กรรมย่อมไม่อาจให้ผลได้อีก (อโหสิกรรม) เหลือเพียงแต่พระคุณความดี เมื่อมีผู้บูชาย่อมส่งผลกรรมดีให้แก่ผู้บูชาเหมือนคนตีกลอง กลองไม่รับรู้เสียง แต่ผู้ตีได้รับอานิสงส์เสียงจากกลอง

วิถีทางดับทุกข์ (มรรค) คือ มัชฌิมาปฏิปทา (หลักการดำเนินชีวิตของพุทธศาสนา) ทางออกไปจากสังสารวัฏมีทางเดียว โดยยึดหลักทางสายกลาง อันเป็นอริยมรรค คือ การฝึกสติ (การทำหน้าที่ของจิตคือตัวรู้ให้สมบูรณ์) เป็นวิธีฝึกฝนจิตเพื่อให้ถึงซึ่งความดับทุกข์หรือมหาสติปัฏฐาน โดยการปฏิบัติหน้าที่ทุกชนิดอย่างมีสติด้วยจิตว่างตามครรลองแห่งธรรมชาติ มีสติอยู่กับตัวเองในเวลาปัจจุบัน สิ่งที่กำลังกระทำอยู่เป็นสิ่งสำคัญกว่าทุกสรรพสิ่ง ทำสติอย่างมีศิลปะคือรู้ว่าเวลาและสถานการณ์เช่นนี้ ควรทำสติกำหนดรู้กิจใดเช่นไรจึงเหมาะสม จนบรรลุญานตลอดจน มรรคผล เมื่อจำแนกตามลำดับขั้นตอนของการบำเพ็ญเพียรฝึกฝนทางจิต คือ

1. ศีล 
2. สมาธิ 

3. ปัญญา
ทุกข์เพราะยึด : เข้าใจ เหตุยึดติด จิตก็ปล่อยวาง หลุดพ้น - พุทธวจน พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล 

สมาธิ ฌาน กรรมฐาน ง่าย และ เร็ว ต้องพิจารณา อะไร? อย่างไร? : หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ทุกข์เพราะยึด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง
เมื่อพูดถึง ความทุกข์กาย แล้ว สาเหตุ มีเยอะแยะไปหมด ความหิวความเจ็บป่วย แผ่นดินไหว อุบัติเหตุ อุทกภัย การปล้นจี้ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของความทุกข์ทางกาย แต่ถ้าพูดถึง ความทุกข์ใจแล้ว ก็มีอยู่สาเหตุเดียว นั่นคือ ทุกข์เพราะยึด
สมาธิ ฌาน กรรมฐาน ง่าย และ เร็ว ต้องพิจารณา อะไร? อย่างไร? : หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง 


ความยึดติด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง คือ สาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ใจ ยึดติดเรื่องอะไรบ้าง ก็ ยึดติดเรื่องราวในอดีต เช่น ความสูญเสียในอดีต โดยเฉพาะสูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกกระทำโดยใครบางคน ที่จริงมันผ่านไปนานแล้ว แต่พอยึดเอาไว้ที่ใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ก็เลยทุกข์ เจ็บปวดโกรธแค้น เสียดาย อาลัย ถ้าไม่ทุกข์เพราะยึดในอดีต ก็กังวลกับอนาคต เหตุร้ายยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็กังวลหรือตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว บางทีก็นึกถึงอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า บางคน เจ็บป่วย เพียงเล็กน้อย แต่ก็นึกปรุงแต่งไปไกลว่าฉันจะตายแล้วหรือนี่ ความกังวลกับอนาคตก็เป็นความยึดติดอีกแบบที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่นึกถึงอนาคต ความกังวลก็ไม่เกิด ความกลัว ก็เช่นกัน ส่วนใหญ่เรากลัวสิ่งที่ยังไม่เกิด ตอนนี้ยังสบายดีอยู่ แต่นึกถึงเหตุร้ายล่วงหน้า อันนี้เรียกว่า คิดข้ามช็อต ก็เลย ทำให้เป็นทุกข์ :)

นอกจาก ความยึดติดในอดีต ในอนาคต แล้ว สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ถ้ายึดติดก็ทุกข์เหมือนกัน อย่างเช่น เสียงที่มารบกวนขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิ เสียงโทรศัพท์ก็ดี เสียงรถยนต์ก็ดี อาจจะไม่ดังเท่าไหร่ แต่พอใจเราไปยึดติดเข้า ก็เป็นทุกข์ทันที เกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจ ยิ่งปรุงแต่งต่อไปว่ามันไม่น่า มันไม่ควร เราก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เกิดโทสะ เกิดความโกรธ นี่ก็เรียกว่าเป็นเพราะยึดติดกับอารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวทนา เรานั่งนานๆ หรือว่าอยู่กลางแดด ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้น ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเป็นของจริง ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต มันเป็นปัจจุบัน แต่พอใจเราปักตรึงลงไปตรงนั้น ทีนี้ไม่ใช่แค่ทุกข์กายแล้ว แต่ยังมีทุกข์ใจด้วย ถ้าเราไม่ปล่อย ไม่วาง ความทุกข์ก็ตามมา รบกวนจิตใจ ของเรา :)

สมาธิ ฌาน กรรมฐาน ง่าย และ เร็ว ต้องพิจารณา อะไร? อย่างไร? หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) เจ้าอาวาสวัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี

สมาทานศีล สมาทานกรรมฐาน แล้วทำสมาธิ
ศีล กรรมฐาน สมาธิ บรรลุ ฌาน ด้วย ปัญญา ให้ จิตผ่องใส
การพิจารณา กำลังใจต้องสูง เด็ดเดี่ยว จิตบริสุทธิ์
อารมณ์จิตคิดว่าตายก็ตาย ร่างกายที่ทรงอยู่เต็มไปด้วยทุกข์ ไม่ใช่ของเรา ไม่มีอะไรดี มันมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย
อารมณ์ไม่จับไปที่ โลภะ โทสะ โมหะ

****************************
ฌาน (บาลี) หรือ ธยาน (สันสกฤต) หมายถึง การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก

ฌาน 2 :
ฌานแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

อารัมมณูปนิชฌาน การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4
ลักขณูปนิชฌาน การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค ผล
วิปัสสนา ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะพินิจสังขารโดยไตรลักษณ์
มรรค ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะยังกิจแห่งวิปัสสนานั้นให้สำเร็จ
ผล ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเพ่งนิพพาน อันมีลักษณะเป็น สุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ อย่างหนึ่ง และเพราะเห็นลักษณะอันเป็นสัจจภาวะของนิพพาน อย่างหนึ่ง

ฌาน 2 ประเภท :
แต่โดยทั่วไป เมื่อกล่าวถึงประเภทของฌาน มักแบ่งฌานออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ

รูปฌาน 4 ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นรูปาวจร ได้แก่
ปฐมฌาน ( ฌานที่ 1 ) ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
ทุติยฌาน ( ฌานที่ 2 ) ประกอบด้วย ปิติ สุข เอกัคคตา
ตติยฌาน ( ฌานที่ 3 ) ประกอบด้วย สุข เอกัคคตา
จตุตถฌาน ( ฌานที่ 4) ประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา
อรูปฌาน 4 ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นอรูปาวจร ได้แก่
อากาสานัญจายตนะ
วิญญาณัญจายตนะ
อากิญจัญญายตนะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ (อัปปนาสมาธิ)
เมื่อกล่าวสั้นๆ ว่า " ฌาน 4" จะหมายถึง รูปฌาน 4 และเมื่อกล่าวสั้นๆ ว่า "ฌาน 8" จะหมายถึง รูปฌาน 4 กับ อรูปฌาน 4 ปฐมฌานเหมาะแก่การทำวิปัสสนา เพราะมีวิตก วิจาร อยู่

สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเพ่งจนได้ฌาน ได้มีการรวบรวมไว้เป็น กรรมฐาน 40 สิ่งที่ขวางกั้นจิต ไม่ให้เกิดฌาน คือ นิวรณ์ 5

ฌานสมาบัติ :
สมาบัติ เป็นภาวะสงบประณีตซึ่งพึ่งเข้าถึง มีหลายอย่าง เช่น ฌานสมาบัติ ผลสมาบัติ เป็นต้น สมาบัติที่กล่าวถึงบ่อยคือ ฌานสมาบัติ กล่าวคือ สมาบัติ 8 อันได้แก่ ฌาน 8 (รูปฌาน 4 กับ อรูปฌาน 4)

ในบางกรณี รูปฌาน 4 อาจถูกจำแนกใหม่ในรูปแบบของ ปัญจมฌาน เป็นการจำแนกตามแบบพระอภิธรรม เรียกว่า ปัญจกนัย การจำแนกตามแบบพระสูตร เรียกว่า จตุกนัย ที่ต้องจำแนกเป็นปัญจมฌาน เนื่องจากฌานลาภี(ผู้ได้ฌาน)มี 2 ประเภท คือ ติกขบุคคล (ผู้รู้เร็ว) และ มันทบุคคล (ผู้รู้ช้า)


อนุปุพพวิหารสมาบัติ 9 หมายถึง สมาบัติ 8 กับ นิโรธสมาบัติ

สมาธิ ฌาน กรรมฐาน ง่าย และ เร็ว ต้องพิจารณา อะไร? อย่างไร? : หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง 

ไม่ทุกข์ หากปล่อยวาง จิตว่าง : ชีวิตที่จิตว่าง คืออะไร อย่างไร พุทธทาสภิกขุ

ทุกข์เพราะยึด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง
เมื่อพูดถึง ความทุกข์กาย แล้ว สาเหตุ มีเยอะแยะไปหมด ความหิวความเจ็บป่วย แผ่นดินไหว อุบัติเหตุ อุทกภัย การปล้นจี้ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของความทุกข์ทางกาย แต่ถ้าพูดถึง ความทุกข์ใจแล้ว ก็มีอยู่สาเหตุเดียว นั่นคือ ทุกข์เพราะยึด



ความยึดติด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง คือ สาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ใจ ยึดติดเรื่องอะไรบ้าง ก็ ยึดติดเรื่องราวในอดีต เช่น ความสูญเสียในอดีต โดยเฉพาะสูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกกระทำโดยใครบางคน ที่จริงมันผ่านไปนานแล้ว แต่พอยึดเอาไว้ที่ใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ก็เลยทุกข์ เจ็บปวดโกรธแค้น เสียดาย อาลัย ถ้าไม่ทุกข์เพราะยึดในอดีต ก็กังวลกับอนาคต เหตุร้ายยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็กังวลหรือตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว บางทีก็นึกถึงอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า บางคน เจ็บป่วย เพียงเล็กน้อย แต่ก็นึกปรุงแต่งไปไกลว่าฉันจะตายแล้วหรือนี่ ความกังวลกับอนาคตก็เป็นความยึดติดอีกแบบที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่นึกถึงอนาคต ความกังวลก็ไม่เกิด ความกลัว ก็เช่นกัน ส่วนใหญ่เรากลัวสิ่งที่ยังไม่เกิด ตอนนี้ยังสบายดีอยู่ แต่นึกถึงเหตุร้ายล่วงหน้า อันนี้เรียกว่า คิดข้ามช็อต ก็เลย ทำให้เป็นทุกข์ :)

นอกจาก ความยึดติดในอดีต ในอนาคต แล้ว สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ถ้ายึดติดก็ทุกข์เหมือนกัน อย่างเช่น เสียงที่มารบกวนขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิ เสียงโทรศัพท์ก็ดี เสียงรถยนต์ก็ดี อาจจะไม่ดังเท่าไหร่ แต่พอใจเราไปยึดติดเข้า ก็เป็นทุกข์ทันที เกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจ ยิ่งปรุงแต่งต่อไปว่ามันไม่น่า มันไม่ควร เราก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เกิดโทสะ เกิดความโกรธ นี่ก็เรียกว่าเป็นเพราะยึดติดกับอารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวทนา เรานั่งนานๆ หรือว่าอยู่กลางแดด ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้น ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเป็นของจริง ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต มันเป็นปัจจุบัน แต่พอใจเราปักตรึงลงไปตรงนั้น ทีนี้ไม่ใช่แค่ทุกข์กายแล้ว แต่ยังมีทุกข์ใจด้วย ถ้าเราไม่ปล่อย ไม่วาง ความทุกข์ก็ตามมา รบกวนจิตใจ ของเรา :)

ไม่ทุกข์ หากจิตว่าง การมีชีวิตที่จิตว่าง คืออะไร อย่างไร - พุทธทาสภิกขุ
ไม่ปวดหัว ไม่เป็นโรคจิตประสาท หากจิตว่าง
รู้กันหรือยัง รู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ไม่ผูกพันจากสิ่งใดๆ
ฉลาดนึกคิดได้รวดเร็ว ไม่โง่ไปยึดถืออยู่ตลอดเวลา
เรายึดถือ เราก็ไป โกรธ เกลียด มัน เป็นทาสของมัน เกิด โลภ โกรธ หลง
*****
ท่านสาธุชนผู้สนใจธรรมทั้งหลาย อาตมาจะพูดกับท่านทั้งหลายโดยหัวข้อว่า การมีชีวิตด้วยจิตว่าง การมีชีวิตด้วยจิตว่างนี้คืออะไร คือสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ จะพูดใส่หน้ากรอกหูลงไปเลยว่า คือสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตด้วยจิตว่างอย่างไร ไม่รู้ว่าการมีชิวิตด้วยจิตว่างอย่างไร ไม่รู้ว่าการมีชีวิตด้วยจิตว่างคืออะไร

การมีชีวิตด้วยจิตว่างก็คือ จิตที่รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ไม่ไปเป็นทาสของสิ่งใดๆ ไม่ไปติดผุกพันอยู่กับสิ่งใดๆ เป็นจิตว่าง เป็นจิตอิสระจากสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก อย่างนี้เรียกว่าจิตว่าง จิตฉลาด จิตคิดลึกได้รวดเร็วสำหรับจะว่าง ไม่เป็นจิตโง่ ง่มง่าม เข้าไปหลงใหลยึดถือในสิ่งใด ก่อนแต่จะทำ กำลังทำ ทำเสร็จแล้ว จิตโง่มันก็ยึดถือตลอดเวลา มันก็แบกภูเขาอยู่ตลอดเวลา มันเป็นจิตวุ่น เป็นจิตที่ติดอยู่กับสิ่งนั้นๆ มันไม่ว่างถ้ามีสติปัญญารู้เพียงพอในเรื่องของธรรมชาติ เรื่องกฏของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ เรื่องพ้นจากหน้าที่เป็นต้นแล้ว ก็รู้ว่าธรรมชาติทั้งหลายมันเป็นอย่งนั้นเอง จะไปหมายมั่นตามความต้องการของเราไม่ได้ เราก็ไปเกี่ยวข้อกับสิ่งเหล่านั้นโดยไม่ต้องหมายมั่น คือด้วยจิตที่เป็นอิสระ

มีจิตเป็นอิสระจากทุกสิ่ง นี้เรียกว่าจิตว่าง ว่างจากอะไร ว่างจากกิเลสที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น เต็มอยู่ด้วยสติปัญญาที่จะควบคุมสิ่งเหล่านั้น ที่จัดการกับสิ่งนั้นๆ ด้วยจิตที่เป็นอิสระ จึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย สะดุ้งหวาดเสียว วิตกกังวล ระแวงไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว คนมีจิตวุ่นผูกพันกับสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนจะทำ กำลังทำ ทำเสร็จแล้วก็มีจิตวุ่นอยู่ด้วยสิ่งเหล่านั้น มันจะต้องเป็นโรคประสาท..

ไม่ทุกข์ หากปล่อยวาง จิตว่าง : ชีวิตที่จิตว่าง คืออะไร อย่างไร พุทธทาสภิกขุ 

เกิด ตั้งอยู่ ดับไป.. อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา.. ไตรลักษณ์

ไตรลักษณ์ เป็นธรรมะที่ทำให้เป็นพระอริยะ (อริยกรธรรม) แปลว่า ลักษณะ 3 ประการ หมายถึงสามัญลักษณะ คือ กฎธรรมดาของสรรพสิ่งทั้งปวง อันได้แก่ อนิจจลักษณะ ลักษณะไม่เที่ยง มีการแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ทุกขลักษณะ ลักษณะทนอยู่ตลอดไปไม่ได้ ถูกบีบคั้นด้วยอำนาจของธรรมชาติทำให้ทุกสิ่งไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป และ อนัตตลักษณะ ลักษณะไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามต้องการได้ เช่น ไม่สามารถบังคับให้ชีวิตยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไป ไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นไปตามปรารถนา เป็นต้น



ไตรลักษณ์ แปลว่า "ลักษณะ 3 อย่าง" หมายถึงสามัญลักษณะ หรือลักษณะที่เสมอกัน หรือข้อกำหนด หรือสิ่งที่มีประจำอยู่ในตัวของสังขารทั้งปวงเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ 3 อย่าง ได้แก่ :-

อนิจจตา (อนิจจลักษณะ) - อาการไม่เที่ยง อาการไม่คงที่ อาการไม่ยั่งยืน อาการที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและสลายไป อาการที่แสดงถึงความเป็นสิ่งไม่เที่ยงของขันธ์.
ทุกขตา (ทุกขลักษณะ) - อาการเป็นทุกข์ อาการที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว อาการที่กดดัน อาการฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ อาการที่ไม่สมบูรณ์ มีความบกพร่องอยู่ในตัว อาการที่แสดงถึงความเป็นทุกข์ของขันธ์.
อนัตตตา (อนัตตลักษณะ) - อาการของอนัตตา อาการของสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน อาการที่ไม่มีตัวตน อาการที่แสดงถึงความไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของใคร อาการที่แสดงถึงไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมันเอง อาการที่แสดงถึงความไม่มีอำนาจแท้จริงในตัวเลย อาการที่แสดงถึงความด้อยสมรรถภาพโดยสิ้นเชิง ไม่มีอำนาจกำลังอะไร ต้องอาศัยพึ่งพิงสิ่งอื่นๆ มากมายจึงมีขึ้นได้.
ลักษณะ 3 อย่างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะที่มีเสมอกันแก่สังขารทั้งปวง และเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมนิยาม คือกฎธรรมดา หรือข้อกำหนดที่แน่นอนของสังขาร

คำว่า ไตรลักษณ์ นี้มาจากภาษาบาลีว่า "ติลกฺขณ" มีการวิเคราะห์ศัพท์ดังต่อไปนี้ :-

ติ แปลว่า สาม, 3.

ลกฺขณ แปลว่า เครื่องทำสัญลักษณ์, เครื่องกำหนด, เครื่องบันทึก, เครื่องทำจุดสังเกต, ตราประทับ เปรียบได้กับภาษาอังกฤษในคำว่า Marker.

ติลกฺขณ จึงแปลว่า "เครื่องกำหนด 3 อย่าง" ในแง่ของความหมายแล้ว ตามคัมภีร์จะพบได้ว่า มีธรรมะที่อาจหมายถึง ติลกฺขณ อย่างน้อย 2 อย่าง คือ สามัญญลักษณะ 3 และ สังขตลักษณะ 3 . ในคัมภีร์ชั้นฎีกา พบว่ามีการอธิบายเพื่อแยกลักษณะทั้ง 3 แบบนี้ออกจากกันอยู่ด้วย. ส่วนในที่นี้ก็คงหมายถึงสามัญญลักษณะตามศัพท์ว่า ติลกฺขณ นั่นเอง.

อนึ่ง นักอภิธรรมชาวไทยนิยมเรียกคำว่า สังขตลักษณะ โดยใช้คำว่า "อนุขณะ 3" คำนี้มีที่มาไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากยังไม่พบในอรรถกถาและฎีกาของพระพุทธโฆสาจารย์และพระธรรมปาลาจารย์, และที่พบใช้ก็เป็นความหมายอื่น อาจเป็นศัพท์ใหม่ที่นำมาใช้เพื่อให้สะดวกต่อการศึกษาก็เป็นได้. อย่างไรก็ตาม โดยความหมายแล้วคำว่าอนุขณะนั้นก็ไม่ได้ขัดแย้งกับคัมภีร์รุ่นเก่าแต่อย่างใด.

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C

https://www.youtube.com/watch?v=HxNBM9sOrKk

#ไตรลักษณ์ #ธรรมะ #อริยกรธรรม #สามัญลักษณะ #อนิจจลักษณะ #ไม่เที่ยง #ทุกขลักษณะ #ทนอยู่ตลอดไปไม่ได้ #อนัตตลักษณะ #ตรัสรู้ #อนิจจตา #ทุกขตา #อนัตตตา #กรรมฐาน #แก้ปัญหา #แก้ทุกข์ #แก้กรรม #กายกรรม_วจีกรรม_มโนกรรม #อกุศลกรรม #โลภะ_โทสะ_โมหะ #กุศลกรรม #กรรมดี #ความโลภ_ความโกรธ_ความหลง #ฟุ้งซ่าน #จิต #การสวดมนต์ #การเพ่ง #ที่ตั้งมั่นแห่งจิต #ขณิกสมาธิ #อุปจารสมาธิ #อัปปนาสมาธิ #ฌานสมาบัติ #สมถกรรมฐาน