วิธีแก้ความมักโกรธ ฟุ้งซ่าน ทุศีล แนวทางคิด และ พิจารณา
พุทธวจน อาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
พุทธศาสนสุภาษิต หมวดที่ ๗ ความโกรธ
โกธํ ทเมน อุจฺฉินฺเท
พึงตัดความโกรธด้วยความข่มใจ
โกโธ สตฺถมลํ โลเก
ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก
โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ
ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข
โกธํ ปญฺญาย อุจฺฉินฺเท
พึงตัดความโกรธด้วยปัญญา
โกธสมฺมทสมฺมตฺโต อายสกฺยํ นิคจฺฉติ
ผู้เมามึนด้วยความโกรธ ย่อมถึงความไร้ยศศักดิ์
ยํ กุทฺโธ อุปโรเธติ สุกรํ วิย ทุกฺกรํ
ผู้โกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย
อนตฺถชนโน โกโธ
ความโกรธก่อความพินาศ
ทุกฺขํ สยติ โกธโน
คนมักโกรธ ย่อมอยู่เป็นทุกข์
อปฺโป หุตฺวา พหุ โหติ วฑฺฒเต โส อขนฺติโช
ความโกรธน้อยแล้วมาก มันเกิดจากความไม่อดทน จึงทวีขึ้น
ปจฺฉา โส วิคเต โกเธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ
ภายหลังเมื่อความโกรธหายแล้ว เขาย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกไฟไหม้
การโกรธเป็นปุถุชนวิสัย การให้อภัยเป็นวิสัยบัณฑิต
ความไม่โกรธเป็นลาภอันประเสริฐ :
หยุดโกรธให้ทัน ก่อนที่มันจะลุกลาม
ตั้งแต่เล็กจนโต คนเราล้วนเคยโกรธมานับครั้งไม่ถ้วน และคงมีบางครั้งใช่ไหม ที่ความโกรธทำให้คุณตกอยู่ในภาวะ “โกรธคือโง่ ก็รู้ โมโหคือบ้า ก็รู้ แต่ยั้งใจไว้ไม่อยู่ ทำอย่างไรได้” สุดท้ายก็เผลอตัวทำอะไรแย่ๆลงไป จนต้องมานั่งเสียใจและโกรธตัวเองซ้ำๆในภายหลัง เพื่อไม่ให้คุณพลาดพลั้ง เพราะยับยั้งความโกรธไว้ไม่ทัน จึงมีวิธีดับไฟโกรธแบบปัจจุบันทันด่วนมาฝาก
1. ตามหาความโกรธให้เจอ ยอมรับว่า ตนเองกำลังรู้สึกโกรธ ใช้เวลาตามหาและระลึกรู้อารมณ์โกรธของตัวเองสักพัก แล้วความโกรธจะหายไป โดยที่คุณแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
2. ตอบตัวเองว่า “ต้องการเอาชนะความโกรธ”
3. อย่าคิดว่า “ฉันไม่มีอะไรจะเสีย” ในความจริงนั้น ความโกรธทำให้คุณเสียสิ่งที่คุณมีได้หลายอย่าง ที่แน่ๆคือ สูญเสียสิ่งที่ทำให้คุณเป็นมนุษย์
4. แอบกระซิบตัวเองว่า “เราไม่โกรธก็ได้นี้น่า”
5. อย่าหวงแหนความโกรธ การนอนกอดความโกรธ ไม่เคยทำให้ใครฝันดีเลย ทางที่ดีคุณควรหาทางระบายความโกรธออกมาอย่างสร้างสรรค์ เช่น วาดภาพหรือเขียนบรรยายความขึ้งเคียดออกมา เป็นบทเพลงหรือบทกวี (แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่ระรานหรือละเมิดสิทธิใครนะคะ)
โกรธอย่างไรให้เกิดปัญญา :
คนเราสามารถรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจได้ตลอดเวลา แต่ความโกรธจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นความผิดบาป ตราบใดที่คุณหยุดยั้งความโกรธไว้ ให้เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นและดับไป และการใช้สติพิจารณาเพื่อละความโกรธนั้นก็ไม่ได้ยากเกิน คุณจะทำความเข้าใจและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
1.พิจารณาโทษของการเป็นคนโกรธ ผู้ที่เริ่มโกรธก่อน นับว่าเป็นคนเลวอยู่แล้ว แต่คนที่โกรธตอบนั้นนับว่าเลวหนักว่าหลายเท่า เพราะเท่ากับเป็นผู้สานต่อความเลวให้ยืดยาวต่อไป พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า เราอย่าเป็นทั้งคนเลวและคนที่เลวกว่านั้นเลย
2.พิจารณาโทษของความโกรธ คนเราเมื่อโกรธจะเปิดปากกว้าง แต่ตาสองข้างจะหรี่ปิด ทำให้มองไม่เห็นโทษร้ายแรงของความโกรธ ยามโกรธจึงมักไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ไม่กลัวบาป ฉะนั้นยิ่งโกรธมากเท่าใด ยิ่งต้องตั้งสติให้มั่นและระลึกไว้ว่า ความโกรธนั้นเป็นภัยร้ายแรง การสะสมความโกรธไว้ในใจ ก็ไม่ต่างอะไรกับการสะสมวัตถุระเบิด วันหนึ่งย่อมระเบิดตูมตาม ทำลายตัวเอง
3.พิจารณาถึงความดีของคนที่เราโกรธ ธรรมชาติของมนุษย์เดินดินนั้น ย่อมมีทั้งดีเลวปะปนกัน
4.พิจารณาว่าความโกรธคือการลงโทษตัวเองให้สมใจศัตรู
5.พิจารณาว่าสัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน ความโกรธถือเป็นอกุศลกรรม ผู้ใดโกรธ ผู้นั้นย่อมได้รับผลกรรม ถ้ามีใครทำให้โกรธ อย่าไปโกรธตอบ เพราะผลกรรมจากการโกรธตอบนั้น จะตกเป็นของคุณอย่างไม่อาจปฏิเสธ
6.พิจารณาพระจริยวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า ว่า กว่าที่พระศาสดาจะสั่งสมบารมีจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงถูกเบียดเบียนทำร้ายกระทั่งถูกหมายเอาชีวิต แต่กระนั้นก็ไม่ทรงแค้นเคือง กลับอดทนระงับความโกรธและมีเมตตาตอบ พุทธวิถีของพระองค์นับเป็นแบบอย่างที่ทำให้มนุษย์คิดได้ว่า สิ่งกระทบกระทั่งที่คุณเผชิญอยู่นั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประสบมา
7.พิจารณาว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏทั้งสิ้น ฉะนั้นในยามโกรธแค้นหรืออยากทำร้ายใคร ให้คิดว่าคนที่คุณกำลังจะตะบันกำปั้นใส่หน้าเข้า อาจจะเคยเป็นพ่อเป็นแม่เป็นคน ที่เคยรับใคร่ผูกพันกันมาในชาติก่อน แล้วชาตินี้คุณจะทำร้ายเขาไปเพื่ออะไร
8.พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา ความเมตตาเป็นหลักธรรมที่ลบล้างความโกรธได้ อีกทั้งยังมีสรรพคุณเหมือนยาวิเศษ ทำให้คุณหลับฝันดี เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ตลอดจนอมนุษย์ทั้งหลาย ภัยและอาวุธไม่กล้ำกราย จิตเป็นสมาธิได้ง่าย
9.พิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ สลายตัวตน มองทุกอย่างตามสภาพความเป็นจริงขั้นปรมัตถ์ว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งสมมุติที่เกิดจากธาตุ(รูปธรรม) และขันธ์ (นามธรรม) มาประกอบกัน
10.ให้ทาน ก็คือ การเสียสละ ไม่ว่าจะเสียสละด้วยการให้สิ่งของ ให้มิตรไมตรี หรือให้อภัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น